การอำลาสนามของเหล่าตำนานนักกีฬาอย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดัล หรือ เดวิด เบ็คแฮม ในช่วงวัยที่แตกต่างกันไป ล้วนเป็นเครื่องเตือนใจถึงสัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่า ร่างกายของมนุษย์มีจุดสูงสุดที่จำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัย 20-30 ปี เมื่อกาลเวลาผันผ่าน สมรรถภาพทางกายก็ย่อมถดถอยลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว คำถามที่สำคัญอย่างแท้จริงจึงไม่ใช่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน แต่อยู่ที่เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรให้มีคุณภาพสูงสุด เป็นชีวิตที่แข็งแรงและเปี่ยมสุขไปจนถึงวันสุดท้าย
คำถามนี้เองคือจุดเริ่มต้นที่นำเราไปสู่แนวคิดสำคัญอย่าง Longevity และ Healthspan ซึ่ง ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี จะมาเปลี่ยนมุมมองการดูแลสุขภาพของพวกเราให้ลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็นมา
Life Span vs Health Span: เมื่ออายุขัยไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ ชวนให้เราเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ยืนยาว จากเดิมที่มุ่งเน้นแต่ Life Span (อายุขัย) หรือการนับจำนวนปีที่มีลมหายใจ ไปสู่การให้ความสำคัญกับ Healthspan ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่คนเรามีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ในปัจจุบันมนุษย์จะมีอายุขัยเฉลี่ยยาวนานขึ้นกว่าในอดีตอย่างเห็นได้ชัด จาก 40-50 ปี กลายเป็น 80-90 ปี แต่เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยยืดชีวิตนั้น มักเข้ามามีบทบาทในช่วงที่สุขภาพโดยรวมได้เสื่อมถอยลงไปมากแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ หลายคนต้องใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายไปกับโรคเรื้อรังหรือภาวะทุพพลภาพ ซึ่งบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างมหาศาล
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่การมีอายุยืนยาว แต่เป็นการทำให้ ช่วงเวลาแห่งการมีสุขภาพดี (Healthspan) ทอดยาวออกไปให้มากที่สุด เพื่อให้กราฟสุขภาพของเราคงอยู่ในระดับสูงเกือบตลอดช่วงชีวิต และลดต่ำลงอย่างรวดเร็วในช่วงสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับหัวใจของหนังสือเรื่อง Outlive ที่เน้นย้ำถึงการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ปราศจากโรคภัยและความเสื่อมถอยก่อนเวลาอันควร
5 ปัจจัยกำหนดสุขภาพ: พันธุกรรมไม่ใช่คำพิพากษา
เพื่อสร้าง Healthspan ที่ดีและยั่งยืน เราจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งหมด ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้สรุปไว้ใน 5 ปัจจัยกำหนดสุขภาพ (Health Determinants) ที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการดูแลสุขภาพเชิงรุกได้ชัดเจนขึ้น
เริ่มต้นที่ พันธุกรรม (Genetics) ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หลายคนมักเข้าใจผิดว่ายีนส์คือตัวกำหนดทุกสิ่ง แต่ ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ ได้ชี้ให้เห็นว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความจริงเท่านั้น ด้วยการเปรียบเทียบที่น่าสนใจว่า คนที่มียีนส์ดีแต่ไม่ดูแลตัวเอง ก็อาจมีสุขภาพที่ย่ำแย่กว่าคนที่มียีนส์ด้อยกว่าแต่ใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ พันธุกรรมจึงเป็นเพียงจุดตั้งต้น ไม่ใช่บทสรุปของสุขภาพ
ปัจจัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดและอยู่ในการควบคุมของเราโดยตรงคือ พฤติกรรมและนิสัย (Behavior) นี่คือตัวแปรสำคัญที่เราสามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนได้ตลอดชีวิต เพื่อยกระดับคุณภาพสุขภาพให้ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกอย่าง สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ (Socioeconomic) ก็มีบทบาทอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ควบคู่ไปกับ สิ่งแวดล้อม (Environment) ที่เราอาศัยอยู่ และท้ายที่สุดคือ การเข้าถึงบริการสุขภาพ (Healthcare Access) ซึ่งเป็นเหมือนตาข่ายความปลอดภัยเมื่อเราเจ็บป่วย
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งห้านี้ จะเห็นได้ว่า แม้บางปัจจัยจะอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่ พฤติกรรมคือแกนกลางที่สำคัญที่สุด เป็นจุดคานงัดที่เราทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันที เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสุขภาพของตนเองในระยะยาว
3 เสาหลักพฤติกรรมสุขภาพ: กิน-ออกกำลัง-นอน
เพื่อขยายความว่าพฤติกรรมส่งผลต่อสุขภาพได้อย่างไร ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ ได้อธิบายถึง 3 เสาหลักสำคัญ ที่เป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ในการชะลอความเสื่อมและป้องกันโรค ไม่ว่าจะเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง หรือโรคหัวใจ
เสาหลักแรก คือ หลักการด้านโภชนาการ ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างร่างกายที่แข็งแรงจากภายใน โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ความสมดุลของสารอาหาร การบริโภคผักและใยอาหารให้เพียงพอในปริมาณประมาณ 400 กรัมต่อวัน จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น พร้อมทั้งส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารให้เป็นปกติ
ขณะเดียวกัน ก็ต้องตระหนักถึงผลกระทบของน้ำตาลฟรุกโตส แม้จะเป็นน้ำตาลที่พบได้ในธรรมชาติ แต่เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินความจำเป็น ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมที่ตับได้ง่าย การจำกัดปริมาณจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีกลไกที่น่าสนใจอย่าง Autophagy ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์จะย่อยสลายและกำจัดส่วนประกอบที่เสื่อมสภาพของตัวเอง การอดอาหารเป็นช่วง ๆ (Intermittent Fasting) สามารถกระตุ้นกระบวนการนี้ได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการทำความสะอาดภายในเซลล์ ช่วยลดของเสียสะสมและความเสี่ยงที่เซลล์จะกลายพันธุ์ผิดปกติ
เสาหลักที่สองคือ หลักการด้านการออกกำลังกาย ซึ่งต้องทำอย่างมีเป้าหมายและเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่งในระดับโซน 2 มีเป้าหมายเพื่อฝึกให้ร่างกายใช้พลังงานจากไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความแข็งแรงทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ควบคู่กันไปคือความจำเป็นของการฝึกกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนัก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการชะลอการสลายของมวลกล้ามเนื้อ (Sarcopenia) ที่เกิดขึ้นตามวัย การรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ไม่เพียงช่วยคงระดับการเผาผลาญพลังงาน แต่ยังรักษาความสามารถในการเคลื่อนไหวไว้อีกด้วย ท้ายที่สุดคือความสำคัญของการฝึกการทรงตัว ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อให้ทำงานประสานกันได้ดียิ่งขึ้น อันเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันการหกล้ม
เสาหลักสุดท้ายคือ หลักการด้านการนอนหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการซ่อมบำรุงที่สำคัญที่สุดของร่างกาย การนอนให้ครบ 7 ชั่วโมงจะช่วยให้ร่างกายได้ผ่านวงจรการหลับที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในช่วงหลับลึก (Deep Sleep) ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เพื่อซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
ผลเสียของการพักผ่อนไม่เพียงพอในระยะยาวนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะจะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เกิดการอักเสบในร่างกาย และกระทบต่อการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจ ดังนั้น สุขอนามัยในการนอนจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจอก่อนนอน เพราะแสงดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปหลอกสมองว่ายังเป็นเวลากลางวัน ทำให้การหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งควบคุมการนอนหลับถูกยับยั้งไป
จากสุขภาพกาย สู่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อโลก
จากเรื่องสุขภาพของปัจเจกบุคคลไปสู่ภาพที่ใหญ่กว่า นั่นคือความรับผิดชอบที่เราทุกคนมีต่อส่วนรวมและโลกใบนี้ ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ กล่าวว่า การออกกำลังกายคือยาวิเศษต้านความแก่ชราที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบ และหัวใจที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ติดตามสุขภาพไฮเทคใด ๆ แต่อยู่ที่การตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเอง
แต่ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้สิ้นสุดแค่ร่างกายของเรา ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ ได้เรียกร้องให้เรามองไกลออกไปและตระหนักว่าสุขภาพของมนุษย์นั้นไม่อาจแยกขาดจากสุขภาพของโลกได้ ภายใต้หลักการที่เรียกว่า Planetary Boundaries เราทุกคนคือส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่เปราะบาง การบริโภคอย่างพอดีเพื่อลดขยะอาหาร การใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ล้วนเป็นองค์ประกอบที่เกื้อหนุนและค้ำจุนซึ่งกันและกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตที่ยืนยาวและเปี่ยมสุขอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้สร้างขึ้นจากสุขภาพกายที่แข็งแรงแต่เพียงลำพัง แต่เกิดจากการใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีความหมายบนโลกที่น่าอยู่ใบนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Work Life Festival 2025: เปิดแผนที่รอดคนทำงานยุค AI และความผันผวน
ถอดรหัสความสุขวัย 40+ ด้วยพลังมหัศจรรย์ของคำว่า ‘ขอบคุณ’




