Share on
×

Share

KAsset x J.P. Morgan Asset Management ชูกลยุทธ์ “Multi-Asset 2.0” สร้างพอร์ตหลักให้แกร่ง

KAsset x J.P. Morgan Asset Management แนะสร้างพอร์ตหลักให้แกร่งด้วยกลยุทธ์ 'Multi-Asset 2.0'

ในสนามรบการลงทุนที่คลื่นลมไม่เคยสงบ KAsset และ J.P. Morgan Asset Management สองพันธมิตรยักษ์ใหญ่ ได้เปิดเวทีสัมมนาสุดพิเศษ “Know the Markets Summit 2025: Core Stability Amidst Market Volatility” เพื่อมอบเข็มทิศการลงทุนแห่งอนาคต ไม่ใช่แค่การเอาตัวรอด แต่คือการวางหมากเพื่อคว้าชัยชนะอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจสำคัญคือการสร้าง “พอร์ตหลักที่มั่นคง (Core Stability)” ควบคู่ไปกับการเปิดเกมรุกด้วยแนวคิดแห่งอนาคต “Multi-Asset 2.0” ที่จะนำสินทรัพย์นอกตลาดเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมเจาะลึก 10 คำถามสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์การลงทุนในปี 2026

นี่คือบทสรุปที่กลั่นกรองจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีคิดและติดอาวุธให้นักลงทุนพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

ปรัชญาเหนือกาลเวลา: “เกมรับ” ที่แข็งแกร่งคือพื้นฐานของชัยชนะ

ท่ามกลางความผันผวน ประเด็นที่ถูกย้ำชัดที่สุดคือปรัชญาการสร้างความมั่นคงให้เป็นแกนกลางของพอร์ต วิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร KAsset ที่กล่าวว่า “เราไม่อาจทายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เราเตรียมให้พร้อมได้” โดยยกกรณีศึกษาความสำเร็จของกองทุนกลุ่ม K-WealthPLUS ในช่วงวิกฤติภาษีทรัมป์ ที่ตลาดหุ้นโลกร่วงหนักกว่า 20% แต่กองทุนกลุ่มนี้กลับลดลงน้อยกว่า และสามารถพลิกกลับมาทำผลตอบแทนได้เกือบ 10% ภายในหนึ่งปี พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของการบริหารพอร์ตที่เน้นการตั้งรับอย่างมีวินัย

ด้าน Leon Goldfeld, Head of Multi-Asset Solutions, APAC, J.P. Morgan Asset Management ได้เผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จว่าเกิดจากความได้เปรียบ 4 มิติ คือ 1. ความลึก (Depth) ของบทวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ 2. ความกว้าง (Breadth) ของจักรวาลการลงทุนที่ไร้ขีดจำกัด 3. วินัย (Discipline) ในกระบวนการตัดสินใจและการบริหารความเสี่ยง และ 4. บุคลากร (People) ที่ทำงานหลอมรวมเป็นทีมเดียว

ฐานันดร โชลิตกุล, CFA – Chief Investment Officer ตราสารหนี้, KAsset ได้ชี้ให้เห็นถึง “พระเอกในเกมรับ” นั่นคือ ตราสารหนี้ (Fixed Income) โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทยที่มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับหุ้นโลกในระดับต่ำ เมื่อนำมาผสมในพอร์ตจึงเปรียบเสมือนเบาะกันกระแทกชั้นดี ช่วยจำกัดการขาดทุน (Drawdown) ในช่วงที่ตลาดตกใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำจากกูรูการลงทุน คือ “Stay Invested” และ “มองภาพใหญ่ของทัวร์นาเมนต์ ไม่ใช่แค่มองเกมต่อเกม” เพราะการคงอยู่ในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง คือหนทางสู่การสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริง

ก้าวข้ามขีดจำกัด: “Multi-Asset 2.0” ประตูสู่โอกาส 85% ที่ซ่อนอยู่

เมื่อเกมรับแข็งแกร่งแล้ว ถึงเวลาเปิดเกมรุกที่เหนือกว่า KAsset และ J.P. Morgan Asset Management ได้เปิดตัวแนวคิดแห่งอนาคต “Multi-Asset 2.0” ซึ่งเป็นการปฏิวัติการจัดพอร์ต โดยนำสินทรัพย์ทางเลือกนอกตลาด (Alternative Assets) เข้ามาเสริมทัพ

Joanna Rowe, Head of Private Wealth Alternatives, South Asia จาก J.P. Morgan Asset Management กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่ากับคุณกำลังมองเห็นโอกาสแค่ 15% ของบริษัททั้งหมด เพราะอีก 85% คือบริษัทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

สินทรัพย์นอกตลาดเหล่านี้มอบ 3 คุณสมบัติพิเศษที่หาได้ยาก คือ ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Alpha) กระแสเงินสดสม่ำเสมอ (Income) และการกระจายความเสี่ยง (Diversification) โดยมี 4 กลุ่มที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ 

Private Equity: การเข้าถึงบริษัทนวัตกรรมก่อนใคร เช่น OpenAI ที่ J.P. Morgan Asset Management ได้ร่วมลงทุนตั้งแต่ยังเป็นบริษัทนอกตลาด

Private Credit: การเป็นเจ้าหนี้โดยตรงของธุรกิจ อย่างดีลที่ J.P. Morgan Asset Management ปล่อยสินเชื่อให้แฟรนไชส์ร้านอาหารขนาดใหญ่ในยุโรป ซึ่งสร้างผลตอบแทนสูงถึง 19% (IRR)

Real Assets: สินทรัพย์ที่จับต้องได้และเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลก เช่น เรือขนส่งสินค้าและโครงสร้างพื้นฐาน ที่น่าสนใจคือสินทรัพย์กลุ่มนี้มีความผันผวนต่ำมาก เพียง 2.8% เทียบกับหุ้นโลกที่สูงถึง 16.1% และยังสร้างกระแสเงินสดจากค่าเช่าได้อย่างต่อเนื่อง

Real Estate: อสังหาริมทรัพย์คุณภาพในทำเลทอง เช่น อาคารที่พักอาศัยในญี่ปุ่นที่มีอัตราการเช่าสูงกว่า 95% สร้างรายรับที่คาดการณ์ได้และมั่นคง

พิศิษฏ์  ไชยพร, CFA Head of Multi Asset Fund, KAsset สรุปอย่างเห็นภาพว่า Multi-Asset 1.0 คือการเพิ่มรีเทิร์นโดยกระจายการลงทุนไปทั่วโลก แต่ Multi-Asset 2.0 คือการเพิ่มเสถียรภาพ โดยนำสินทรัพย์ทางเลือกเข้ามาลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม

เจาะแผนการเล่นปี 2026: AI ยังไม่ “ฟองสบู่” และเอเชียคือขุมพลังที่ซ่อนอยู่

ในช่วงไฮไลท์ Raisah Rasid, Global Market Strategist, J.P.Morgan Asset Management และ มทินา วัชรวราทร, CFA – Head of Investment Strategy, KAsset ได้ไขทุกข้อข้องใจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดในปี 2026

เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Soft Landing โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือความมั่งคั่งของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2020 และการลงทุนมหาศาลของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Hyperscalers) ที่มีแผนใช้จ่ายกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้เพียงปีเดียว

AI เป็นฟองสบู่หรือไม่? “ยังไม่ใช่” คือคำตอบที่ชัดเจน คุณมทินาชี้ว่า แม้ Valuation จะสูง แต่ก็มีกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งรองรับ ต่างจากยุค Dot-com ที่ P/E สูงถึง 70-90 เท่า โดยที่หลายบริษัทยังไม่มีกำไร ที่สำคัญคือระดับการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจจริงยังอยู่แค่ 10% หมายความว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเติบโต

เอเชีย หัวใจของ AI โลก Raisah เผยข้อมูลเชิงลึกว่า สหรัฐฯ อาจเป็นศูนย์กลางด้านซอฟต์แวร์ แต่เอเชียคือโรงงานผลิตฮาร์ดแวร์ของโลก โดย 75% ของเซมิคอนดักเตอร์ และ 95% ของชิปความแม่นยำสูงถูกผลิตในเอเชีย ทำให้หุ้นเทคโนโลยีในเอเชียยังมีโอกาสเติบโตสูงใน Valuation ที่น่าสนใจกว่ามาก

สำหรับหุ้นไทยและเวียดนาม ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากความชัดเจนทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีแนวโน้มเชิงบวก ส่วน เวียดนาม ยังคงเป็นดาวเด่นด้านการเติบโตในระยะยาว

จัดทัพลงทุน: กลยุทธ์ Core-Satellite และ 2 ผู้เล่นคนสำคัญที่ต้องมีติดพอร์ต

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ CFA – Managing Director, KAsset ได้มอบแผนการเล่นที่นำไปใช้ได้จริงผ่านกลยุทธ์ Core-Satellite (พอร์ตหลัก 80% – พอร์ตเสริม 20%) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเติบโต

สำหรับ Core Portfolio ประกอบด้วยกลุ่มกองทุน K-WealthPLUS Series ได้แก่ K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ที่ผสมผสานสินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก K-GDBOND และกองทุนหุ้นทั่วโลก K-GSELECT และ K-GPIN เพื่อเสริมความมั่นคง 

K-GSELECT กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงทั่วโลก และกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเติบโตแต่กังวลเรื่องการกระจุกตัว

K-GPIN เน้นลงทุนในหุ้น Defensive ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน (เช่น Coca-Cola, Johnson & Johnson) และใช้กลยุทธ์สร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติม ทำให้พอร์ตมีความผันผวนต่ำและสร้างรายรับได้สม่ำเสมอ

ในขณะที่ Satellite Portfolio เป็นส่วนที่เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้เลือกลงทุนตามธีมที่น่าสนใจ ซึ่งประกอบไปด้วยกองทุน K-PROPI, K-INDIA, K-CHINA, K-ATECH, K-GPEQ-UI และ K-GPC-UI เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้นำแนวคิด Core Portfolio ไปต่อยอดการบริหาร Retirement Solutions ให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทำให้สมาชิกกองทุนสามารถเลือกแผน K-WealthPLUS Series ที่เหมาะกับทุกช่วงวัยทำงาน และสามารถเลือกแผน Life Path ที่ยกภาระให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของ KAsset ดำเนินการปรับพอร์ตให้แบบอัตโนมัติ โดยจะทยอยลดสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อสมาชิกอายุมากขึ้น 

แม้จะเริ่มได้ไม่นาน แต่แนวคิด Core Port ได้รับการตอบรับดีมาก โดยมีนายจ้างมากกว่า 300 ราย เลือก K-WealthPLUS Series เป็นหนึ่งในแผนการลงทุน ส่งผลให้มี AUM มากกว่า 1,300 ล้านบาท นอกจากนี้ มีนายจ้างมากกว่า 70 รายที่เลือก Life Path เป็นหนึ่งในแผนการลงทุนเพื่อเกษียณให้กับสมาชิกด้วย (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ กันยายน 2568)

สรุปได้ว่า ชัยชนะในสนามลงทุนไม่ได้มาจากการไล่ตามราคา แต่มาจากการ “ควบคุมกลยุทธ์” ของตนเอง ด้วยการสร้างพอร์ตหลักที่แข็งแกร่ง เปิดรับโอกาสใหม่ ๆ และลงทุนอย่างมีวินัยเพื่อเป้าหมายระยะยาว

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_498dyn8

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลเพิ่มเติม www.kasikornasset.com

×

Share

ผู้เขียน