สำหรับใครหลายคน ‘บ้าน’ อาจเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวตนและพื้นที่แห่งความสุขในปัจจุบัน ทว่าในมุมมองของ ดุ๊ก-ภาณุเดช วัฒนสุชาติ นักแสดงและพิธีกรผู้ค้นพบความสุขในการเนรมิตสวนและบ้าน จนก่อตั้งบริษัท เงาะถอดรูป จำกัด นั้น ‘บ้าน’ มีความหมายที่ลึกซึ้งและยาวไกลกว่านั้น เขาเชื่อว่าหัวใจที่แท้จริงของการสร้างบ้านที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามเพียงชั่วครู่ แต่คือปรัชญา ‘รู้ก่อน’ ที่จะสาย เพื่อป้องกันคำว่า ‘รู้งี้’ ซึ่งมักจะตามมาด้วยภาระของการทุบรื้อและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
ดังนั้น แก่นสำคัญที่เขาต้องการสื่อสารจึงไม่ใช่เรื่องของสไตล์ที่ฉาบฉวย แต่เป็นการวางรากฐานการออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้พร้อม ‘เติบโตและแก่ไปพร้อมกับเรา’ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่คนวัย 40+ มักเผลอมองข้ามไป
รู้จักตัวเองวันนี้…เพื่อออกแบบอนาคตในวันหน้า
หัวใจของการออกแบบที่มองการณ์ไกล เริ่มต้นจากคำถามที่ใกล้ตัวที่สุด ‘เราเป็นใครในวันนี้ และเราจะเป็นใครในวันข้างหน้า?’ คุณดุ๊ก-ภาณุเดช ชี้ว่านี่คือจุดสตาร์ตที่สำคัญที่สุด เพราะรสนิยมและความต้องการในชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่คงที่ แต่เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปตามวัยอย่างสิ้นเชิง
ภาพของห้องนอนในวัยหนุ่มสาว ที่อาจจะรกรุงรังไปบ้าง หรือตกแต่งด้วยแสงไฟสลัวและโทนสีเข้มตามอารมณ์ศิลปิน คือภาพสะท้อนของช่วงวัยหนึ่ง แต่เมื่อนาฬิกาชีวิตเดินเข้าสู่เลข 5 ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมเรียกร้องสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป แสงสีนวลที่เคยสร้างบรรยากาศอบอุ่น อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อสายตาที่ต้องการความสว่างที่ชัดเจนขึ้น ผนังสีเข้มที่เคยดูเท่ อาจสร้างความรู้สึกอึดอัดและทึบตัน ดังนั้น การออกแบบบ้านโดยยึดติดกับความชอบของตัวเองในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว จึงเปรียบเสมือนการสร้างบ้านที่ขาดรากฐานแห่งกาลเวลา และเป็นความผิดพลาดที่หลายคนต้องหวนกลับมาแก้ไข
บทเรียนนี้ คุณดุ๊กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เมื่อเขาต้องปรับปรุงบ้านครั้งใหญ่เพื่อดูแลคุณแม่ที่อายุมากขึ้น จากเดิมที่เคยออกแบบพื้นที่ตามความสุขของตัวเอง กลับต้องเปลี่ยนมุมมองสู่การออกแบบเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายเป็นหลัก หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือ การปรับพื้นต่างระดับ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นองค์ประกอบที่สร้างมิติให้บ้านดูน่าสนใจ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป มันได้กลายเป็นกับดักที่มองไม่เห็นสำหรับผู้สูงอายุ ดังที่เขากล่าวว่า “พื้นต่างระดับอาจให้ความรู้สึกที่เท่และสวยงามก็จริง แต่หากเราตั้งใจจะใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ไปอีกยาวนาน หรือมีผู้สูงวัยอาศัยอยู่ด้วย นี่คือสิ่งแรกๆ ที่เราต้องคิดทบทวนใหม่”
ฟังก์ชันที่ต้องมาก่อน: ถอดรหัสบ้านเพื่อวัยที่เพิ่มขึ้น
จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทั้งจากการใช้ชีวิตจริงและการคลุกคลีในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ คุณดุ๊ก-ภาณุเดช ได้ตกผลึกแนวคิดการออกแบบที่จำเป็นสำหรับอนาคต ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนในยุคนี้
- ออกแบบเพื่อการใช้งานจริงในทุกชั้นของบ้าน: เขาตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า สำหรับบ้านสองชั้นของใครหลายคน เมื่อกาลเวลาผ่านไป พื้นที่ชั้นบนมักจะค่อย ๆ ถูกลดบทบาทลง จนกลายเป็นเพียง “ห้องเก็บของที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์” อย่างน่าเสียดาย ดังนั้น การวางแผนให้มีห้องนอนหลักหรือห้องสำหรับผู้สูงอายุไว้ที่ชั้นล่าง จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นที่ช่วยให้เราสามารถใช้ทุกตารางนิ้วของบ้านได้อย่างคุ้มค่าและสะดวกสบายไปตลอดชีวิต
- การสัญจรในแนวดิ่งที่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน: หากบ้านจำเป็นต้องมีหลายชั้น “บันได” จะกลายเป็นองค์ประกอบที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ การออกแบบจึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ทั้งความกว้างของลูกนอนที่เต็มฝ่าเท้า และความสูงของลูกตั้งที่ไม่ชันจนเกินไป นอกจากนี้ การมองการณ์ไกลด้วยการเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งลิฟต์ไว้ล่วงหน้า ถือเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยขจัดปัญหาการทุบรื้อโครงสร้างที่ยุ่งยากและสิ้นเปลืองในอนาคต
- นิยามใหม่ของ ‘พื้นที่ว่าง’ คือ ‘พื้นที่แห่งความปลอดภัย’: ในยามปกติ เราอาจมองไม่เห็นความสำคัญของพื้นที่ว่าง แต่ในภาวะฉุกเฉิน พื้นที่เหล่านี้คือเส้นทางแห่งชีวิต ประตูทางเข้าห้องและห้องน้ำจึงควรมีความกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตร เช่นเดียวกับพื้นที่ว่างรอบเตียงนอน ซึ่งเป็นระยะมาตรฐานที่ช่วยให้รถเข็น หรือทีมช่วยเหลือพร้อมอุปกรณ์ สามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วและสะดวก
- พื้น…รากฐานของความปลอดภัยที่ไม่ควรมองข้าม: พื้นไม่ใช่เป็นเพียงองค์ประกอบเพื่อความสวยงาม แต่เป็นพื้นผิวที่เราต้องสัมผัสและใช้งานอยู่ตลอดเวลา นอกจากการออกแบบให้เรียบเสมอกันเพื่อป้องกันการสะดุดแล้ว การเลือกวัสดุปูพื้นคือหัวใจสำคัญ เขาแนะนำให้พิจารณา ค่าความฝืดของกระเบื้องเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงอย่างห้องน้ำ ควบคู่ไปกับการเปิดรับนวัตกรรม เช่น พื้น SPC (Stone Plastic Composite) ที่มีคุณสมบัติช่วยรองรับแรงกระแทก ซึ่งสามารถลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้
- แสงสว่าง ปัจจัยชี้วัดคุณภาพชีวิตและความปลอดภัย: แสงสว่างที่เพียงพอคือองค์ประกอบพื้นฐานของคุณภาพชีวิตที่ดี แสงธรรมชาติถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุด แต่หากทิศทางของบ้านต้องปะทะกับแดดที่ร้อนจัดเกินไป การปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อสร้างร่มเงาที่ร่มรื่น ก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่นำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้อย่างลงตัว ขณะเดียวกัน แสงไฟประดิษฐ์ภายในบ้านต้องให้ความสว่างที่เคลียร์ชัดเจนและสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากเงาหรือมุมมืดที่มองไม่เห็น
สร้างสุขง่าย ๆ ด้วยสีสันและธรรมชาติ
เมื่อรากฐานของบ้านถูกวางไว้บนความปลอดภัยแล้ว ก็ได้เวลาเติม ‘จิตวิญญาณ’ และ ‘ความสุข’ ให้กับพื้นที่ เพราะคุณดุ๊ก-ภาณุเดช เชื่อว่าบ้านที่สมบูรณ์ต้องเป็นสถานที่ที่สร้าง “ความสุขง่าย ๆ ที่อยู่รอบตัว” ได้ด้วยเช่นกัน
ศาสตร์แห่งสีสัน เขาได้แนะนำสูตรการใช้สีที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง นั่นคือ กฎ 70:30 โดย 70% ของพื้นที่ควรเป็นสีโทนสว่างและอบอุ่น เช่น สีขาว off-white หรือสีเบจ ทำหน้าที่เป็นผืนผ้าใบที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย โปร่งสบาย และไม่รบกวนสายตา ส่วนอีก 30% ที่เหลือ คือพื้นที่สำหรับแสดงออกถึงตัวตนผ่านสีที่ชื่นชอบ ซึ่งอาจเป็นการใช้กับผนังเพียงด้านเดียวเพื่อสร้างจุดเด่น หรืออาจแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น 20% สำหรับสีรอง และอีก 5-10% สำหรับการหยอดสีสันผ่านของตกแต่งชิ้นเล็ก ๆ อย่างแจกัน หมอนอิง หรือกรอบรูป เพื่อให้บ้านมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างมีรสนิยม โดยไม่สร้างความรู้สึกวุ่นวายทางสายตา
พื้นที่สีเขียว คือ โอเอซิสส่วนตัวที่ช่วยเยียวยาใจ คุณดุ๊กเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า สำหรับผู้คนในวัย 40+ นั้น “สีเขียวสร้างความชื่นใจให้เราได้อย่างแน่นอน” เขาเน้นย้ำว่า แม้หลายคนจะกังวลเรื่องภาระการดูแล แต่ปัจจุบันมีพรรณไม้ที่ทนทานและดูแลง่ายให้เลือกมากมาย การสละพื้นที่เพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างมุมสีเขียวในบ้าน จึงไม่ใช่ภาระ แต่คือ การลงทุนเพื่อความสุขทางใจที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มความสดชื่นและสร้างความสงบให้กับผู้อยู่อาศัย
บทสรุปจากมุมมองของคุณดุ๊กคือ การสร้างบ้านเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนนั้น ไม่ได้วัดกันที่งบประมาณที่ทุ่มลงไปเสมอไป หากแต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การ ‘รู้ก่อน’ และวางแผนอย่างชาญฉลาด เพื่อให้บ้านกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่พร้อมจะโอบอุ้มเราในทุกช่วงวัยของชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัส Healthspan: กุญแจอายุยืนอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่แค่ ‘หายใจ’ แต่ต้อง ‘แข็งแรง’
จากช่างไฟธรรมดา สู่วิทยากร: ความสำเร็จของชุมชนช่างไฟชไนเดอร์




