Share on
×

Share

อนาคตดิจิทัลไทย 2026: วิกฤติขาดโครงสร้างพื้นฐาน สูญเสียอธิปไตยให้ต่างชาติ

อนาคตดิจิทัลไทย 2026: วิกฤติขาดโครงสร้างพื้นฐานสูญเสียอธิปไตยให้ต่างชาติ

เวทีเสวนา Digital Night 2025 ในหัวข้ออนาคตดิจิทัลไทยปี 2026 ผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนได้สะท้อนภาพอนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยมีประเด็นหลักร่วมกันคือ การที่ประเทศไทยขาดโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) ที่เป็นของตนเอง ทำให้ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการขาดดุลการค้าบริการดิจิทัลจำนวนมหาศาล

ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ท๊อป) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Bitkub Capital Group Holdings, ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (ป้อม) CEO กลุ่มบริษัท efrastructure Group, ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) และ กุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ (มิ้นท์) นายกสมาคมอีคอมเมิร์ซไทย

ประเด็นหลัก: ภาวะไร้ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของชาติ

ในประเด็นนี้ คุณจิรายุส ได้เปรียบเทียบเพื่อชี้ให้เห็นถึงภาวะสุญญากาศของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย

เขาเริ่มต้นด้วยการย้อนกลับไปในยุคเศรษฐกิจกายภาพ (Physical Economy) ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการวางรากฐานสำคัญต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์ หรือการสร้างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โครงสร้างพื้นฐานที่มองเห็นและจับต้องได้เหล่านี้ คือเสาหลักที่ค้ำจุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตและแข็งแกร่งมาได้จนถึงปัจจุบัน

ทว่า เมื่อโลกเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) สถานการณ์กลับพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง

คุณจิรายุสชี้ว่า โครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น (Invisible Infrastructure) ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งเส้นเลือดใหญ่และระบบประสาทของเศรษฐกิจยุคใหม่ กลับตกอยู่ในการครอบครองของบริษัทต่างชาติเกือบทั้งหมด

หากเราลองสำรวจเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตดิจิทัลในปัจจุบัน จะพบว่า

  • แพลตฟอร์มการสื่อสาร (Communication Platform): เราพึ่งพา LINE และ WhatsApp
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-commerce): ตลาดถูกครองโดย Lazada และ Shopee
  • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Social Media): เราใช้งาน TikTok และ Facebook
  • บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing): องค์กรไทยต่างใช้บริการของ AWS, Google หรือ Alibaba

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า ประเทศไทยแทบไม่มี “ท่าเรือ” หรือ “ธนาคาร” ดิจิทัลที่เป็นของตัวเองเลย

ผลกระทบที่ตามมานั้นลึกซึ้งกว่าแค่เรื่องของเม็ดเงิน คุณจิรายุสได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่เราต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มสื่อสารของต่างชาติในการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เรากำลัง “outsource ประชาธิปไตย” ของเราเองให้คนอื่นควบคุม

และที่น่ากังวลที่สุดในยุคที่กำลังมาถึง คือยุคของ AI ที่กินข้อมูล (Data) เป็นอาหารสำคัญ เมื่อข้อมูลพฤติกรรมของคนไทยทั้งหมดถูกจัดเก็บและประมวลผลอยู่บนแพลตฟอร์มต่างชาติ ก็เท่ากับว่าเราได้สูญเสียทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในอนาคตไปแล้ว

ปัญหาที่ตามมา: การผูกขาดที่ลุกลามและภาวะขาดดุลมหาศาล

ผลกระทบจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ ไม่ได้หยุดนิ่ง คุณภาวุธขยายความว่า ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่ตลาดค้าปลีกออนไลน์ (E-commerce) อีกต่อไป แต่กำลังลุกลามไปสู่การ “ผูกขาด” ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน

เขาอธิบายว่า แพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ ไม่ได้พอใจแค่การเป็นตลาดแต่กำลังพยายามควบคุมระบบนิเวศ (Ecosystem) ทั้งหมด โดยขยายอิทธิพลไปยัง 2 ส่วนสำคัญ

  1. บริการการเงิน: เห็นได้ชัดจากการรุกคืบเข้ามาในบริการทางการเงิน เช่น บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later) อย่าง SPayLater ซึ่งเป็นการขยายบทบาทเข้ามาทับซ้อนและแข่งขันกับสถาบันการเงินโดยตรง
  2. บริการโลจิสติกส์: มีการใช้ความได้เปรียบของแพลตฟอร์มในการล็อกผู้ค้า ให้หันไปใช้บริการขนส่งในเครือของตนเอง (เช่น Shopee Express หรือ J&T ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก) การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่กีดกันผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทยรายอื่น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่ไม่มีทางเลือกอื่น

ภาวะการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ กำลังนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่า นั่นคือ การขาดดุลการค้าบริการดิจิทัลจำนวนมหาศาล

คุณจิรายุสได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า เพียงแค่การที่คนไทยสมัครใช้บริการ AI อย่าง ChatGPT ก็อาจมีมูลค่าเงินทุนไหลออกนอกประเทศสูงถึง 2 แสนล้านบาท

สถานการณ์นี้ยิ่งซ้ำร้าย เมื่อพิจารณาในมิติของภาษี ไม่เพียงแต่เงินทุนที่ไหลออกไปอย่างมหาศาล แต่รายได้ที่แพลตฟอร์มต่างชาติสร้างขึ้นภายในประเทศไทย ก็ยังไม่ถูกจัดเก็บเข้ารัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

คุณภาวุธ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า แพลตฟอร์มอย่าง Facebook อาจมีรายได้จากเอเจนซี่โฆษณาในไทยสูงถึง 8,000 ล้านบาท แต่กลับแจ้งรายได้ในระบบภาษีเพียง 800 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนช่องโหว่ในการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ

ในทางตรงกันข้าม คุณจิรายุสตั้งข้อสังเกตเพื่อเปรียบเทียบว่า Bitkub ในฐานะบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียว กลับจ่ายภาษีให้ประเทศมากกว่าที่แพลตฟอร์มต่างชาติขนาดใหญ่ทุกรายรวมกัน ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการขาด “ผู้เล่นสัญชาติไทย” (National Champion) ทำให้ประเทศสูญเสียทั้งอธิปไตยทางเศรษฐกิจและรายได้ในการพัฒนาประเทศไปพร้อมกัน

ศักยภาพของไทย: เมื่อ “การประยุกต์ใช้” และ “พลังของ KOL” คือคำตอบ

แม้ว่าภาพรวมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ในมุมของ “การปรับใช้เทคโนโลยี” (Adoption)

ดร.ชาญวิทย์ กล่าวว่า ธุรกิจ AI ในไทยกำลังเติบโตได้ดี แต่ยุทธศาสตร์ของไทยไม่ควรเป็นการทุ่มเงินทุนมหาศาลเพื่อสร้าง Foundation Model (โมเดล AI พื้นฐาน) ขนาดใหญ่เพื่อไปแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ระดับโลก

หัวใจสำคัญของไทยจึงอยู่ที่การประยุกต์ใช้ AI อย่างชาญฉลาด โดยนำเทคโนโลยี AI มาต่อยอดในสิ่งที่ไทยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่แล้ว (Niche Expertise) เขายกตัวอย่างเช่น การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ “ข้อมูลทางการแพทย์ของคนไทย” ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ข้อมูลที่ไทยมีและสามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมหาศาล แทนที่จะไปแข่งขันสร้าง AI ที่รู้ทุกเรื่อง

ในขณะที่ คุณกุลธิรัตน์ ชี้ให้เห็นว่าสมรภูมิ E-commerce ในปัจจุบัน ได้ก้าวข้ามการแข่งขันตัดราคา (Price War) ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง แต่เทรนด์สำคัญที่กำลังขับเคลื่อนตลาดคือยุคของ KOL (Key Opinion Leader) หรือ “ผู้นำทางความคิด”

เธอมองว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือการสร้างความสัมพันธ์ (LOVE) กับลูกค้า ดังที่เห็นจากปรากฏการณ์ “เจนนี่” ที่สามารถสร้างยอดขายถล่มทลายได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า พลังที่แท้จริงไม่ได้มาจากสินค้าที่ถูกที่สุด แต่มาจากการสร้างฐานแฟนคลับที่มีความรักและความภักดี (Loyalty) ต่อแบรนด์หรือตัวบุคคลอย่างแข็งแกร่ง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: จาก “CTO ประเทศไทย” สู่การปฏิบัติ

วงเสวนาได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยจุดประเด็นสำคัญเรื่องการขาด “ผู้นำ” ด้านเทคโนโลยีระดับประเทศ คุณภาวุธ ได้เสนอว่า ประเทศไทยควรมีตำแหน่ง “CTO ประเทศไทย” (Chief Technology Officer) เปรียบเสมือนการบริหารประเทศเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อทำหน้าที่ทลายกำแพงการทำงานแบบไซโล (Silo) ของหน่วยงานรัฐ และลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน

คุณภาวุธ มองภาพที่ใหญ่ขึ้นในระดับยุทธศาสตร์ชาติ โดยเสนอ “นโยบาย 4 ด้าน” ที่เขาเชื่อว่าจำเป็นอย่างยิ่งหากต้องการพลิกฟื้นสถานการณ์ ประกอบด้วย

  • Digital Government: การพัฒนาระบบราชการดิจิทัล โดยเฉพาะการสร้าง “Dashboard กลางของประเทศ” เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและใช้ข้อมูลในการบริหาร
  • Digital Economy: การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเน้นการสร้าง “Open Commerce Network” ซึ่งเป็นเครือข่ายการค้าเสรีที่ไม่ถูกผูกขาดโดยแพลตฟอร์มใดยี่ห้อหนึ่ง
  • Digital People: การส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึง
  • Digital Infrastructure: การที่รัฐต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญให้เป็นของประเทศ

คุณจิรายุส กล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่ตั้งข้อสังเกตสำคัญว่า “ประเทศนี้ไม่ใช่ต้องมี CTO อย่างเดียวนะ ต้องมี budget ให้กับ CTO ด้วย” โดยชี้ว่า งบประมาณของกระทรวงดิจิทัลในปัจจุบัน (หลักพันล้าน) ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับกระทรวงอื่น (หลักแสนล้าน) ทำให้การขับเคลื่อนเป็นไปได้ยาก

คุณจิรายุส ได้เสนอแนวทางที่เข้มข้นที่สุดในเชิง “การปฏิวัติโครงสร้าง” (Structural Reform) โดยระบุ 4 นโยบายเร่งด่วนที่จำเป็นต้องทำเพื่อ “ทวงคืน” อธิปไตยดิจิทัลกลับมา

  1. กำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้น: บังคับใช้กฎหมายให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ (Critical Infrastructure) ต้องมีสัดส่วนคนไทยถือหุ้น 51%
  2. พลิกกฎระเบียบการแข่งขัน: ปรับแก้กฎหมายที่ล้าสมัย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ เขาเปรียบเปรยว่า ปัจจุบันคนไทยกำลัง “ถือมีด” สู้กับต่างชาติที่ “ถือปืน” จึงจำเป็นต้อง “พลิก” กฎระเบียบให้คนไทยเป็นฝ่ายถือปืนบ้าง
  3. ปฏิรูปการศึกษา: เร่งปฏิรูปการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรสาย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) ให้ทัดเทียมกับเวียดนามที่สามารถผลิตบัณฑิตสายนี้ได้จำนวนมหาศาล
  4. ผ่อนคลายกฎหมายคนเข้าเมือง (Immigration Law): เปิดรับบุคลากรทักษะสูง (Talent) จากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานในไทยได้ง่ายขึ้น เพื่อแก้ปัญหา “Super Ageing Economy” หรือภาวะสังคมสูงวัยขั้นสุด ที่กำลังทำให้ไทยขาดแคลนแรงงานในอนาคต

ด้านคุณกุลธิรัตน์ ได้เสนอแนวทาง Quick Win ที่สามารถเริ่มต้นได้ทันที นั่นคือการผลักดันให้แพลตฟอร์ม E-commerce ทุกราย ติดสัญลักษณ์ “Verified by Thai Seller” (ร้านค้าคนไทยที่ตรวจสอบแล้ว)

เธอมองว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพราะจะเป็นการสร้าง “ทางเลือก” ที่ชัดเจนให้แก่ผู้บริโภคชาวไทย ให้สามารถตัดสินใจสนับสนุนผู้ประกอบการไทยด้วยกันเองได้โดยตรง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้คนไทย แต่ยังช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ภายในระบบเศรษฐกิจของประเทศ แทนที่จะไหลออกไปต่างประเทศ

คุณจิรายุส สรุปทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า ต่อให้มีนโยบายที่ดีเพียงใด ทางออกที่ยั่งยืนที่สุดของประเทศคือการสร้าง “คนของอนาคต” (The Next Humans)

เขาย้ำว่า “คนของอนาคต” จะต้องถูกติดตั้งด้วยความรู้ 3 ด้าน ที่ระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญ นั่นคือ Financial Literacy (ความรู้ทางการเงิน), Health Literacy (ความรู้ด้านสุขภาพ) และ Digital Literacy (ความรู้ดิจิทัล) เพื่อให้ประชาชนชาวไทยสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงนี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เจาะ 3 ภัยร้ายฉุดไทย: ทุนเทาทำลาย SME – AI ไร้คน – สังคมแก่ก่อนรวย

เกินกว่าสมรรถนะ: มิชลินชูยุทธศาสตร์ ‘All Sustainable’ สู่วัสดุยั่งยืน 100% ในปี 2050

×

Share

ผู้เขียน