Share on
×

Share

PDPA – พ.ร.บ.คอมฯ : กฎหมายหรืออาวุธฟ้องปิดปากสื่อ?

PDPA - พ.ร.บ.คอมฯ : กฎหมายหรืออาวุธฟ้องปิดปากสื่อ?

ในงานการอบรมเชิงปฎิบัติการความปลอดภัยดิจิทัลและการตรวจสอบข่าวลวงสำหรับผู้สื่อข่าวหญิง #FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fact checkers in Thailand 2025 หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกมาคือความเสี่ยงทางกฎหมายที่นักข่าวหญิงต้องเผชิญในยุคดิจิทัล

“ทนายทราย” – กุณฑิกา นุตจรัส จากสำนักงานกฎหมายและบัญชีกฤษฎางค์-นุตจรัต และเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นวิทยากรในหัวข้อ “ข้อพิจารณาทางกฎหมาย: การสำรวจภูมิทัศน์ทางกฎหมายในประเทศและระหว่างประเทศสำหรับสิทธิดิจิทัล” ได้เจาะลึกภาพรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนักข่าว ทั้ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และจริยธรรม AI

โดยคุณกุณฑิกาได้ชี้ประเด็นว่า กฎหมายที่ดูเหมือนจะสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ อย่าง PDPA และ พ.ร.บ.คอมฯ ได้กลายเป็น “กับดัก” และเครื่องมือทางยุทธวิธีในการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ที่น่ากังวลยิ่งกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทแบบดั้งเดิม

PDPA: “ข้อยกเว้น” สื่อมวลชนที่ไม่ใช่ “เกราะกันภัย” อัตโนมัติ

แม้ว่าใน มาตรา 4 ของ PDPA จะระบุข้อยกเว้นไว้สำหรับ “กิจการสื่อสารมวลชน” แต่คุณกุณฑิกาเน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่เช็คเปล่าที่ทำให้สื่อทำอะไรก็ได้ ข้อยกเว้นนี้ “ไม่สมบูรณ์” ในตัวเอง แต่ถูกผูกโยงไว้กับมาตรฐานที่เรียกว่า “จริยธรรมสื่อ”

ปัญหาใหญ่คือ “จริยธรรมสื่อ” นั้นไม่มีนิยามตายตัวในกฎหมาย แต่ถูกผลักให้เป็นเรื่องของ “การกำกับดูแลกันเอง (Self-regulation)” ของแต่ละองค์กรสื่อ

นี่คือจุดที่อันตรายและเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายโดยตรง หากองค์กรสื่อไม่มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ (Best Practice) หรือจริยธรรมภายในที่ชัดเจน รัดกุม และอธิบายได้ เมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา สื่ออาจไม่สามารถอ้างข้อยกเว้นตามมาตรา 4 ได้สำเร็จ

ยกตัวอย่างกรณีความเห็นของสำนักงานกสทช.ล่าสุด เรื่องมีผู้ร้องเรียนสำนักข่าวได้นำข้อมูลส่วนบุคคลออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยการออกฉาย เจตนาให้ผู้ชมได้เห็นใบหน้าโดยตรง และมีข้อความชี้ที่ตัวบุคคลว่าเป็นผู้ก่อเหตุ โดยมิได้มีการปิดบังหรืออำพราง ทำให้ได้รับความอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงเกิดความเสียหาย ซึ่งสำนักงานกสทช.ให้ความเห็นว่า แม้การนำเสนอข่าวของสือมวลชนอยู่ในข่าย

ประเด็นนี้ถูกขยี้ให้ชัดขึ้นเมื่อมีคำถามจากตัวแทน CoFact (โคแฟค) ว่า การเปิดเผยชื่อบัญชีผู้ใช้ (Account) ที่เผยแพร่เฟคนิวส์ ถือเป็นการละเมิด PDPA หรือไม่?

ทนายความชี้ว่า นี่คือพื้นที่สีเทาที่ต้องชั่งน้ำหนัก ประเทศไทยใช้ “ระบบกล่าวหา” ใครก็สามารถฟ้องได้ แม้เราจะมั่นใจว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องอยู่เสมอ การตัดสินใจเบลอชื่อหรือเปิดเผย จึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ “เนื้อหา” ที่เป็นเท็จ หรือ “ตัวบุคคล” ผู้เผยแพร่

คำแนะนำในทางปฏิบัติคือ “When in doubt, get consent” (ถ้าไม่มั่นใจ ให้ขอความยินยอม) ซึ่งอาจเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในทางกฎหมาย แม้ในทางปฏิบัติของงานข่าวจะทำได้ยากก็ตาม

... คอมฯหมิ่นประมาท: อาวุธคลาสสิกที่ยังทรงพลัง

นอกเหนือจาก PDPA ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในการถูกใช้เป็นเครื่องมือฟ้องร้อง กฎหมายคลาสสิกอย่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ก็ยังคงเป็นภัยคุกคามหลัก

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์: คุณกุณฑิกาชี้ให้เห็นความแตกต่างสำคัญว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ (โดยเฉพาะ มาตรา 14-16) มีความแตกต่างจากคดีหมิ่นประมาท เนื่องจากพรบ.คอมฯเป็นการมุ่งเน้นการนำเข้าสู้ระบบคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ความผิดหมิ่นประมาทเป็นการใส่ความไปยัง “บุคคลที่สาม” ทำให้การนำเข้าเพียงอย่างเดียวก็อาจทำให้เข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว ก็อาจเข้าองค์ประกอบความผิดแล้ว แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายว่าไม่ใช้กับคดีหมิ่นประมาทแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ด้วยบทลงโทษที่รุนแรงกว่า มันจึงยังถูกเลือกใช้เป็นเครื่องมือ SLAPP เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้สื่อหยุดทำงาน

หมิ่นประมาทและหมิ่นฯโดยการโฆษณา (มาตรา 326, 328): ยังคงเป็น “ตัวท็อป” ที่นักข่าวโดนฟ้องร้องมากที่สุด อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ก็มีช่องให้ต่อสู้ในเรื่อง “การกระทำโดยสุจริต” เพื่อ “สาธารณประโยชน์” ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้ต่อสู้ในคดี พ.ร.บ.คอมฯ (พิสูจน์ว่าไม่ได้ทุจริตหรือหลอกลวง)

“โล่” กฎหมายระหว่างประเทศ: ใช้ได้จริงหรือแค่ “แถลงการณ์” สวยหรู?

เมื่อสื่อถูกฟ้อง มักมีการอ้างถึงพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น ICCPR (กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง) โดยเฉพาะข้อ 19 ว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงออก

คุณกุณฑิกาอธิบายว่า กฎหมายระหว่างประเทศเหล่านี้มีความสำคัญในแง่ “หลักการ” ที่ใช้ยืนยันในกระบวนการยุติธรรมได้ว่า การตีความกฎหมายไทยไม่ควรขัดหรือแย้งกับหลักการสากลที่ไทยไปลงนามรับรองไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามถึง “น้ำหนัก” ในการพิจารณาคดีจริงในศาลไทย ทนายความยอมรับว่า “มันขึ้นอยู่กับคุณภาพของสังคม” และ “ความกล้าหาญ” ของผู้บังคับใช้กฎหมาย การอ้างกฎหมายระหว่างประเทศจึงไม่ใช่ “กระสุนเงิน” (Silver Bullet) ที่จะพลิกคดีได้เสมอไป แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องถูก “ทำซ้ำๆ” และ “ยืนยัน” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นจริงในการบังคับใช้

ภัยคุกคาม “สื่อสตรี” และพรมแดนใหม่ของ AI

นอกเหนือจากประเด็นกฎหมายหลัก คุณกุณฑิกายังชี้ถึง 2 ประเด็นสำคัญที่สื่อยุคใหม่ต้องเผชิญ ได้แก่

  1. การคุกคามสื่อสตรี: ปัญหาการคุกคามทางออนไลน์, การติดตาม (Stalking) หรือการทำลายชื่อเสียง (Character Assassination) ที่เกิดขึ้นกับนักข่าวหญิงจำนวนมาก มักเป็นพฤติกรรมที่ “ยังไม่มีกฎหมายเอาผิดโดยตรง” ทนายความตั้งคำถามชวนคิดว่า แม้การมีกฎหมายเฉพาะจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การออกแบบตัวบทกฎหมาย ว่าจะทำอย่างไรให้รัดกุมและมุ่งคุ้มครองผู้ถูกกระทำได้จริง โดยไม่เปิดช่องให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อปิดปากคนอื่น ดังบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นกับ พ.ร.บ.คอมฯ
  2. จริยธรรมการใช้ AI: ในยุคที่ AI ถูกใช้ในงานข่าวมากขึ้น คุณกุณฑิกาเตือนว่า AI คือ “โปรแกรมเรียบเรียงถ้อยคำตามสถิติ” หรือ “นกแก้ว” ที่ซับซ้อน มัน “ไม่มีทางถูกร้อยเปอร์เซ็นต์” และสามารถ “หลงผิด” นำข้อมูลเท็จมาตอบ หรือสะท้อน “อคติ” จากข้อมูลที่ถูกป้อนได้

ดังนั้น จริยธรรมสื่อในการใช้ AI คือความรับผิดชอบสูงสุดในการ “ตรวจสอบความถูกต้อง” ก่อนเผยแพร่ และควร “เปิดเผย” ต่อผู้อ่านว่าเนื้อหาส่วนใดมาจากการใช้ AI เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของวิชาชีพ

โดยสรุป ภูมิทัศน์ทางกฎหมายที่สื่อมวลชนกำลังเผชิญนั้นเต็มไปด้วยกับดักที่ซับซ้อน การป้องกันตัวที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่การท่องจำตัวบทกฎหมาย แต่คือการสร้าง “เกราะ” แห่งจริยธรรมและการกำกับดูแลกันเองภายในองค์กรที่แข็งแกร่งและอธิบายได้ เพื่อให้สามารถทำงานเพื่อสาธารณะต่อไปได้ โดยไม่อยู่บนความหวาดกลัว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

National Geographic x PepsiCo ลุย ‘เกษตรเชิงฟื้นฟู’ ชูเกษตรกรไทยเป็นต้นแบบโลก

ฝุ่นผงหมึก ภัยเงียบออฟฟิศ ถึงเวลาเปลี่ยนสู่ยุค Zero Toner Dust

×

Share

ผู้เขียน