Share on
×

Share

SCGP กาง 3 กลยุทธ์: ซื้อกิจการอินโดฯ – ลดพึ่งจีน – ลุย Healthcare

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน ราคาขายที่ลดลง และผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ที่กดดันผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 ของ บริษัทเอสซีซี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP (รายได้ 94,204 ล้านบาท ลดลง 7%, กำไร 2,873 ล้านบาท ลดลง 20%) แต่เมื่อเจาะลึกรายละเอียดกลับพบการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

โดยผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาสที่ 3 ปี 2568 SCGP ทำรายได้จากการขาย 30,438 ล้านบาท มี EBITDA 4,154 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน) และมีกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับปีก่อน) ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น 

SCGP ไม่ได้หยุดนิ่งรอรับแรงกระแทก แต่กำลังเดินเกมรุก 2 สมรภูมิสำคัญพร้อมกัน คือ การทุ่มงบประมาณ 956 ล้านบาท ปิดดีล M&A โรงงานกล่องกระดาษในอินโดนีเซีย เพื่อต่อจิ๊กซอว์ซัพพลายเชนให้ครบวงจร และ การใช้ยุทธศาสตร์ ‘Loose Coupling’ (การลดการพึ่งพา) กับตลาดจีน ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถ “ไดเวิร์ท” ออเดอร์ส่งออกที่หายไปจากจีน ไปบุก “อินเดีย” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นฐานทัพใหม่แห่งอนาคต

ยุทธศาสตร์ ‘Loose Coupling’: เมื่อจีนไม่ใช่คำตอบ… ‘อินเดีย’ คือฐานทัพใหม่

หนึ่งในการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจที่สุดของ SCGP คือการบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการส่งออก วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP อธิบายแนวคิดนี้ว่า บริษัทได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์ “Loose Coupling from China” หรือ การลดระดับการพึ่งพาตลาดจีน มาอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

เหตุผลสำคัญมาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าว่า “เราเห็นแล้วว่าจีนจะโดนภาษีจากฝั่งอเมริกา ซึ่งถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ชัดเจนในมิติการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยนี้ทำให้ SCGP ต้องตัดสินใจกระจายฐานลูกค้าและตลาดเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น”

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ สัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศจีนในช่วง 9 เดือนแรกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่เคยสูงถึง 8% ของการส่งออกรวม เหลือเพียง 4% ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกที่หายไปจากตลาดจีนไม่ได้สูญเปล่า ทีมงานขายของบริษัทสามารถปรับเปลี่ยนทิศทาง (Divert) การส่งออก ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงได้อย่างสำเร็จ ซึ่งก็คือ ประเทศอินเดีย รวมถึงตลาดใหม่อย่างออสเตรเลียด้วย

คุณวิชาญเน้นย้ำว่า การบุกตลาดอินเดียในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า (Dumping) แต่เป็นการมองการณ์ไกลในเชิงยุทธศาสตร์ โดย SCGP มองอินเดียในฐานะฐานในการที่จะขยายการลงทุนของประเทศอินเดียในอนาคตซึ่งถือเป็นการเข้าไปเรียนรู้ตลาดและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

SCGP ทุ่ม 956 ล้านปิดดีล M&A อินโดนีเซีย: กลยุทธ์ต่อยอด ‘Fajar’ และการผนึกกำลังซัพพลายเชน

ท่ามกลางภาพรวมผลกำไรที่ปรับตัวลดลง SCGP ได้ประกาศการเคลื่อนไหวทางธุรกิจครั้งสำคัญ โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติ (เมื่อ 28 ต.ค. 2568) การเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงงานผลิตกล่องกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 100 ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK)

การลงทุนครั้งนี้มีมูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 นี้

การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการขยายกำลังการผลิต แต่ถือเป็น “จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ” ในการต่อยอดกลยุทธ์ Vertical Integration (การควบรวมแนวดิ่ง) ภายในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่ง SCGP ประเมินว่าเป็น “ประเทศดาวรุ่ง” ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เทียบเท่ากับเวียดนาม

ดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP อธิบายเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์นี้คือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) กล่าวคือ เดิมที SCGP มีฐานการผลิต “ต้นน้ำ” (Upstream) ที่แข็งแกร่งมากในอินโดนีเซียอยู่แล้ว ผ่าน “Fajar” (PT Fajar Surya Wisesa Tbk.) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ แต่บริษัทยังขาดสินทรัพย์ “ปลายน้ำ” (Downstream) หรือโรงงานผลิตกล่องกระดาษ ที่จะนำกระดาษเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อส่งถึงมือลูกค้าโดยตรง

ดังนั้น การเข้าซื้อโรงกล่องในครั้งนี้ ซึ่งมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่ เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา และอยู่ใกล้กับฐานการผลิตของ Fajar จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว ส่งผลให้ระดับ Integration Level (สัดส่วนการนำกระดาษที่ผลิตเองไปใช้ในโรงงานของตนเอง) เพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 26% ในทันที ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านต้นทุนและอุปทาน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายระยะยาวไว้ที่ 50% เช่นเดียวกับฐานการผลิตในไทยและเวียดนาม

นอกเหนือจากประโยชน์เชิงกลยุทธ์แล้ว ดีลนี้ยังคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี และทำให้ SCGP ได้ฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในอินโดนีเซีย เข้ามาเสริมพอร์ตอีกด้วย โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้าเดิม และสามารถนำ เทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิตและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในยุคที่ร้านค้าปลีกแนวไลฟ์สไตล์กำลังเผชิญการแข่งขันอย่างดุเดือด  มินิโซ แบรนด์จากจีน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักและสร้างความแตกต่างด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า "IP-Driven Retail" หรือการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) การทำร้านค้าไลฟ์สไตล์จึงไม่ใช่แค่การขายสินค้าราคาถูกและน่ารักอีกต่อไป แต่ได้ยกระดับเป็นการสร้าง “โลกแห่งความสนุกในแบบ IP Wonderland” ที่ดึงดูด Gen Z และ Gen Alpha ด้วยคาแรกเตอร์สุดฮิตจากทั่วโลกและการพัฒนาคาแรกเตอร์ของตัวเอง

ล่าสุด การเปิดตัว MINISO LAND สาขาแรกในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ใจกลางสยามสแควร์ ได้จุดกระแสความนิยมถล่มทลาย โดยเฉพาะคอลเลกชันใหม่ "Disney’s Zootopia" ที่สร้างปรากฏการณ์ขายหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ สินค้าท้องถิ่นอย่าง "Dundun Chicken" ในธีมมวยไทยและไก่ชนไทย ก็กลายเป็นไฮไลต์ของการผสมผสานวัฒนธรรมไทยเข้าไปใน IP อย่างลงตัว


เบื้องหลังความสำเร็จข้างต้นคือกลยุทธ์การตลาดและสไตล์การดำเนินธุรกิจของแบรนด์ค้าปลีกจากจีนที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 และขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมินิโซมีสาขามากกว่า 7,600 แห่งในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก โดยมียอดขายจากร้านในจีนเพียงแห่งเดียวสูงถึงแสนล้านหยวน การเปิด MINISO LAND ในไทยถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่น การร่วมมือกับ IP  ระดับโลก และการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกแห่งความสนุก

บทความชิ้นนี้จะพาไปเจาะลึกกลยุทธ์ดังกล่าวผ่านการสัมภาษณ์และการแถลงข่าวจากผู้บริหารที่พร้อมใจกันมาเปิดเผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จและทิศทางการดำเนินธุรกิจที่เน้นการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภคยุคใหม่

ประเทศไทย: จุดยุทธศาสตร์สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสำคัญอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" จุน หวัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มินิโซ ประเทศไทย เล่าถึงเหตุผลที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของ MINISO LAND แห่งแรกในไทยและเป็น 1 ในไม่กี่แห่งของโลก

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มินิโซได้เข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2559  และมีการอัปเกรดหน้าร้านมาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมี 16 สาขา MINISO LAND คือสาขาแรกที่เป็นระดับสูงสุด (Top Level) ด้วยพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร และสินค้ากว่า 8,000 SKU ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าลิขสิทธิ์

วินเซนต์ ฮวง รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของมินิโซตลาดต่างประเทศ กล่าวเสริมว่า ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดสำคัญสำหรับบริษัทฯ ประสบการณ์จาก IP Collection ของมินิโซไม่ใช่แค่ในไทย แต่เป็นทั่วโลก  เขายกตัวอย่างร้านค้าปลีกแบรนด์อื่น เช่น  เลโก้ มีสินค้าขายเพียงอย่างเดียวคือตัวต่อ หรือยูนิโคล่ที่วางขายเฉพาะเสื้อผ้า แต่มินิโซมีมากกว่า 150 IP และมีหมวดสินค้าที่หลากหลาย ทำให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ใช้จีนเป็น ‘ตลาดทดลอง’ ก่อนขยายสู่โลก

มินิโซใช้จีนเป็น "ตลาดทดลอง" ก่อนขยายสู่ต่างประเทศ ซึ่งโรบิน หลิว รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดของมินิโซระดับโลก อธิบายว่า  มินิโซมีการทดสอบโมเดลร้านใหม่ ๆ ในจีน เช่น MINISO LAND ที่เปิดตัวครั้งแรกที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในปี 2567 และทำลายสถิติยอดขายต่อเดือนสูงสุดของมินิโซทั่วโลกตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดให้บริการ

ปัจจุบัน มินิโซแบ่งร้านออกเป็น 3 ระดับ คือ ร้านทั่วไป ร้าน  Flagship Store และ MINISO LAND โดยสัดส่วน IP ที่วางขายในใน MINISO LAND สูงถึง 80% ซึ่งสูงกว่าร้านทั่วไป เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มองหาสินค้าพิเศษ

รายได้รวมของมินิโซในปี 2567 อยู่ที่ 2.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือเพิ่มขึ้น 22.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศ เติบโตสูงถึง 42% เมื่อเทียบปีต่อปี  คิดเป็นมูลค่า 6.68 พันล้านหยวน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเป็นผู้นำในการพัฒนา IP และการขยายสาขาร้านค้า  โดยจำนวนร้านค้ามินิโซในต่างประเทศได้ ทะลุ 3,000 สาขา ไปแล้ว ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

กลยุทธ์การตลาด: จาก ‘ผู้ร่วมมือ’ สู่ ‘เจ้าพ่อ IP’

หัวใจสำคัญที่ทำให้มินิโซแตกต่างจากคู่แข่งคือ กลยุทธ์ด้าน IP ที่ใช้กลยุทธ์ Dual Strategy ซึ่งไม่ใช่แค่การร่วมมือกับ IP ลิขสิทธิ์จากแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Disney, Harry Potter, Sanrio หรือ Stitch แต่ยังรวมถึงการพัฒนา Original IP ของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2568 ที่มินิโซประกาศแผนพัฒนาและบ่มเพาะ IP ภายใต้ลิขสิทธิ์ของมินิโซ โดยร่วมมือกับศิลปิน 9 รายเพื่อสร้างตัวละครใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ กลยุทธ์คู่ขนานนี้ก็เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงระยะสั้นและการเติบโตระยะยาว

มินิโซมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “เจ้าพ่อ IP” ของโลกค้าปลีก จากเดิมที่มักร่วมมือกับแบรนด์อื่น

"เราเน้นพัฒนา IP เองโดยร่วมมือกับศิลปินระดับโลก ซึ่งในจีน IP ใหม่สามารถสร้างรายได้กว่า 10 ล้านหยวนภายใน 1 เดือน" คุณโรบินกล่าว  IP ของมินิโซเอง เช่น Dundun Chicken, Gift Bear และ Penguin กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะ Dundun Chicken ที่ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยด้วยธีมมวยไทยและไก่ชน

 แม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่บริษัทฯ ไม่จำกัดเพดานงบประมาณในการพัฒนา IP เพราะมุ่งมั่นการพัฒนาระยะยาว

การปรับ IP ให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น

หนึ่งในจุดเด่นของกลยุทธ์ IP มินิโซคือการ "Localization" หรือการปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ IP ดูเป็น "นำเข้า" แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของลูกค้า

คุณโรบิน เล่าว่า ลูกค้าในแต่ละประเทศมีความชื่นชอบต่างกัน ซึ่งมินิโซมีการวิจัยเพื่อเลือก IP ที่เหมาะสม เช่น ในไทย คนชอบ Harry Potter และ Dundun Chicken จึงมีการผสมวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ มินิโซยังมีการออกแบบสินค้า Limited Edition ที่เกี่ยวกับประเทศนั้น ๆ เช่น ช้างไทยหรือสินค้าไทยสไตล์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีความเชื่อมโยง

"เมื่อไปตลาดต่างประเทศ เราต้องผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อยกนวัตกรรมท้องถิ่นขึ้นมา" คุณโรบินกล่าว

สไตล์การดำเนินธุรกิจ: เน้นคุณภาพ+โลเคชั่น

สไตล์ธุรกิจของมินิโซคือ "ไม่เน้นจำนวน แต่เน้นคุณภาพ"

"เราตั้งเป้าเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์อันดับหนึ่งภายใน 3 ปี แต่ต้องใช้เวลา 2-5 ปีในการสร้าง เราไม่แข่งด้วยจำนวนสาขา แต่แข่งด้วยคุณภาพ เช่น เลือกโลเคชั่นดี ๆ อย่างสยามสแควร์ ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยว" คุณหวังกล่าว

คุณวินเซนต์ ขยายความว่า "ร้านในโลเคชั่นดี ๆ  เช่น ไอคอนสยาม หรือ เซ็นทรัลเวิรลด์  ช่วยสร้างยอดขายเพิ่มเท่าตัว เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก"

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในวงการร้านค้าไลฟ์สไตล์ถือว่าดุเดือดในไทย และมีคู่แข่งหลายราย แต่คุณหวังมองว่า การแข่งขันที่ดุเดือดแสดงว่าตลาดกำลังเติบโต ซึ่งกลยุทธ์ Dual Strategy ด้านการพัฒนา IP ช่วยให้มินิโซอยู่รอด  

“ประสบการณ์จากจีนที่แข่งขันกันรุนแรงกว่า ช่วยให้มินิโซปรับตัวได้ดี หัวใจค้าปลีกคือพัฒนา IP เอง เพื่อแข่งขันในต่างประเทศ" คุณวินเซนต์ กล่าวเสริม

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักคือวัยรุ่น Gen Z และ Gen Alpha โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบแฟชั่น ปัจจุบันมินิโซมีสมาชิกกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก และมีผู้เยี่ยมชมร้านกว่า 1,000 ล้านคนต่อปี

ผู้บริหารตั้งเป้าจะขยายสาขาในไทยให้ได้ถึง 100 สาขา โดยเน้นที่สาขาในย่านธุรกิจยอดนิยม ก่อนขยายไปต่างจังหวัด และในอนาคต มินิโซอาจมีคาเฟ่ โรงหนัง 3D  หรือห้องเกม ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของผู้บริโภค

"เราไม่ได้โฟกัสที่กำไร เราสนใจว่าผู้บริโภคชอบ IP ของเราหรือไม่ เราอยากปักธงให้เติบโต" คุณวินเซนต์กล่าว

จากร้านขายของราคาถูก สู่จักรวาล IP ที่ครองใจคนรุ่นใหม่ กลยุทธ์การตลาดของมินิโซคือการผสม IP ระดับโลกกับท้องถิ่น สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และเน้นคุณภาพ ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยสโลแกน "Life is for Fun" มินิโซอาจจะกำลังพิสูจน์ว่าร้านค้าไลฟสไตล์ไม่ใช่แค่ขายของ แต่คือการสร้างโลกแห่งความสุข

SCGP รุกธุรกิจ Healthcare: ยกระดับจากบรรจุภัณฑ์สู่การผลิต ‘เข็มฉีดยา’ ทดแทนการนำเข้า

นอกจากการเติบโตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์หลักแล้ว SCGP ยังมีการเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจครั้งสำคัญ นั่นคือการขยายการลงทุนเข้าไปในธุรกิจใหม่ อย่างจริงจัง โดยมีกลุ่มที่โดดเด่นคือ Healthcare Supply หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งคาดว่าในปีนี้เพียงกลุ่มเดียวจะสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 2,700 – 2,800 ล้านบาท

การเคลื่อนไหวล่าสุดที่ตอกย้ำทิศทางนี้ คือการตัดสินใจลงทุนติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาภายในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการติดตั้ง และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2569

เป้าหมายหลักของโครงการนี้มีความชัดเจน คือการเจาะตลาดโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution) อุปกรณ์ดังกล่าวซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูง

นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงการขยายสายการผลิตธรรมดา แต่ถือเป็นการยกระดับธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ จากการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging) สู่การเป็นผู้เล่นในตลาดโซลูชั่นทางการแพทย์ (Medical Solutions) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างชัดเจน

วิเคราะห์แนวโน้ม Q4: สัญญาณบวกหลังราคาเยื่อกระดาษผ่านจุดต่ำสุด

สำหรับภาพรวมตลาดและแนวโน้มในไตรมาสที่ 4 SCGP ได้ให้สัญญาณเชิงบวกในหลายมิติ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์วัตถุดิบหลักที่กำลังคลี่คลาย และคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง และ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว

ประการแรกคือ ราคาเยื่อกระดาษ (Pulp) คุณวิชาญ ระบุว่า ราคาได้ผ่านจุดต่ำสุด (Bottom) ไปแล้วในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกในประเทศบราซิล สามารถบรรลุข้อตกลงประเด็นภาษีกับสหรัฐอเมริกาได้แล้ว ส่งผลให้ราคาในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งสะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์

ประการที่สองคือ ราคาเศษกระดาษ (RCP) ซึ่งมีทิศทางสวนทางกับเยื่อกระดาษ โดยในไตรมาสที่ 4 ราคาเศษกระดาษมีแนวโน้ม “ขาลง” สถานการณ์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ ได้ออกมาตรการห้ามนำเข้าชั่วคราว ทำให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน (ของเหลือ) ในภูมิภาค ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการต้นทุนของ SCGP

เพื่อรับมือกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบนำเข้า SCGP ได้ใช้กลยุทธ์ลดต้นทุนเชิงรุก โดยหันมา เพิ่มสัดส่วนการใช้เศษกระดาษภายในประเทศ (Domestic Content) ทั้งในฐานการผลิตที่ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ในประเทศขึ้นมาอยู่ที่ 65% จากเดิม 55% นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 38.6 และนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับกลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากราคาตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น

จากปัจจัยบวกด้านต้นทุนเศษกระดาษ ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดเยื่อกระดาษ ผู้บริหารจึงแสดงความมั่นใจว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2568 นี้ จะดีกว่าไตรมาส 4 ของปีก่อนอย่างแน่นอน (ซึ่งเคยติดลบ) และจะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2568 “ไม่น่าจะน้อยหน้าปีที่แล้ว”

กฎหมาย EPR: SCGP พลิกความท้าทายสู่โอกาสชูความพร้อมช่วย ‘แบรนด์โอนเนอร์’

สำหรับประเด็นกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต ซึ่งกำลังจะถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศไทย และคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นกลุ่มแรกนั้น SCGP กลับมีมุมมองที่แตกต่าง โดยมองว่านี่คือ “โอกาส” ทางธุรกิจครั้งสำคัญ มากกว่าจะเป็นอุปสรรค

ผู้บริหารได้อธิบายขยายความว่า สาเหตุที่ SCGP มองเช่นนั้น เพราะบริษัทมีความได้เปรียบและความพร้อมสูงในเรื่องนี้อยู่แล้ว กล่าวคือ มีประสบการณ์ตรง SCGP ได้ดำเนินงานภายใต้ข้อกำหนด EPR ลักษณะนี้มาก่อนแล้วในต่างประเทศ ทั้งในตลาดยุโรปและเวียดนาม ทำให้มีความเข้าใจในกระบวนการเป็นอย่างดี และมีโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทได้ลงทุนสร้าง “ระบบนิเวศในการรีไซเคิล” (Recycling Station) ที่แข็งแกร่งไว้พร้อมรองรับการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์แล้ว

SCGP วิเคราะห์ว่า ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ ผู้ที่จะได้รับผลกระทบหลักและมีภาระความรับผิดชอบโดยตรงมากที่สุด ไม่ใช่ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่เป็นกลุ่ม “แบรนด์โอนเนอร์” (Brand Owners) หรือเจ้าของสินค้าที่เป็นผู้เลือกใช้บรรจุภัณฑ์เหล่านั้น

ด้วยเหตุนี้ SCGP จึงสามารถใช้ความพร้อมทั้งด้านประสบการณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาปรับรูปแบบธุรกิจ (Business Model) เพื่อนำเสนอเป็น “โซลูชัน” ในการเข้าไป “ช่วยเหลือ” ลูกค้ากลุ่มแบรนด์โอนเนอร์เหล่านี้ ให้สามารถบริหารจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการสร้างบริการใหม่ที่จะสร้างประโยชน์และรายได้กลับมาสู่บริษัทในอนาคต

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างเข้มข้น โดยตั้งเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 พร้อมขยายความร่วมมือกับลูกค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ จำนวน 6 ราย ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP)

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

MALEE พลิกเกมสู่ Global Wellbeing ชูแบรนด์ตัวเอง 55% แซง OEM

ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งผันผวน จับตาประชุมเฟด-เจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน

×

Share

ผู้เขียน