Share on
×

Share

SCG โตแกร่งสวนวิกฤติ EBITDA พุ่ง 15% ลุยเวียดนาม-ปูน LC3 ดันยอดขาย

SCG แกร่งสวนวิกฤติ EBITDA พุ่ง 15% ลุยเวียดนาม-ปูน LC3 ดันยอดขาย

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะยืดเยื้อจนถึงปี 2569 เอสซีจี (SCG) ยืนยันว่าได้สร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เห็นได้จาก กระแสเงินสด (EBITDA) 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่เติบโตถึง 15% อยู่ที่ 44,511 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะรายงานขาดทุนสุทธิ 669 ล้านบาท เนื่องจากรายการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (Non-Cash) แต่หากไม่นับรายการดังกล่าว กำไรจากการดำเนินงานยังอยู่ที่ 774 ล้านบาท องค์กรจึงประกาศเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก อย่างเข้มข้น เพื่อรับมือกับความท้าทายในระยะยาว

กลยุทธ์สำคัญมุ่งเน้นที่การรักษาวินัยทางการเงิน และการลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยี AI และ Robotics การรวมศูนย์การผลิตในภูมิภาคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการรุกตลาดที่เติบโตสูงอย่างเวียดนาม เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตและส่งออก พร้อมกับการปรับพอร์ตสินค้าไปสู่กลุ่ม Smart Value ที่เน้นความคุ้มค่า และสินค้า Low Carbon อย่างปูนซีเมนต์ LC3 Gen 3 ที่เป็นนวัตกรรมสำคัญ เพื่อตอบสนองกำลังซื้อที่ชะลอตัวและเทรนด์ความยั่งยืนของโลก

ปรับตัวสู่ความแกร่ง ท่ามกลางมรสุมความท้าทาย

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยถึงภาพรวมสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงาน โดยระบุว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 นี้ ถือเป็นช่วงที่ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัวปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยภายนอกที่ซ้อนทับกัน ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดของสงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 5% ซึ่งเป็นระดับที่ส่งผลเสียต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่เพียง 1% กว่า ๆ เท่านั้น และประเมินว่าสถานการณ์ที่ “เหนื่อย” นี้จะยังคงยืดเยื้อต่อไปจนถึงไตรมาสแรกของปีถัดไป

ไตรมาส 3: รายงานขาดทุนแต่กำไรจากการดำเนินงานยังมั่นคง

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 นั้น ยอดขายรวมของเอสซีจีอยู่ที่ 121,793 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าบริษัทจะสามารถผลักดันให้ปริมาณการขาย (Volume) เพิ่มขึ้นได้ แต่ก็ถูกหักล้างและกดดันอย่างหนักจากปัจจัยด้านราคาขายที่ลดต่ำลง ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมากในตลาด อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คือ การรายงาน ขาดทุนสุทธิ 669 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (Inventory Loss) ในธุรกิจเคมิคอลส์ตามหลักการบัญชี ซึ่งถือเป็นรายการที่ ไม่ใช่เงินสด (Non-Cash) โดยหากตัดรายการดังกล่าวออกไป กำไรจากการดำเนินงานที่แท้จริงของเอสซีจียังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 774 ล้านบาท

ความสำคัญสูงสุด: การรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสด

คุณธรรมศักดิ์ เน้นย้ำถึงนโยบายหลักในการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจว่า “กระแสเงินสด (Cash Flow) สำคัญที่สุด” ในการเป็นเกราะป้องกันและขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงมรสุมความไม่แน่นอน โดยมาตรการที่บริษัทดำเนินการอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งการรักษาวินัยทางการเงินและการปรับโครงสร้างธุรกิจ ได้ส่งผลให้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 9 เดือนแรกของปี 2566 แข็งแกร่งถึง 44,511 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินให้องค์กรสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

ความแข็งแกร่งทางการเงิน: วินัยเคร่งครัด สู่การลดภาระหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญ

จันทนิดา สาริกะภูติ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน เอสซีจี ได้นำเสนอผลการดำเนินงานด้านการเงินที่สะท้อนถึงวินัยทางการเงินที่เข้มงวดและเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อเสริมรากฐานที่มั่นคงของบริษัทในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน

SCG ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในการลดเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ได้ถึง 21,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างรอบคอบ ความสำเร็จนี้ควบคู่ไปกับการ ลดหนี้สินสุทธิได้ 32,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ปรับตัวลดลงจาก 6.3 เท่า เหลือเพียง 4.7 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 สะท้อนถึงสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และบริษัทยังคงมีเงินสดคงเหลือในมือ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 สูงถึง 50,662 ล้านบาท พร้อมรองรับการลงทุนและความไม่แน่นอน

นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยไว้ในระดับที่ควบคุมได้ที่ 3.2% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้น

ไม่ใช่แค่นวัตกรรม แต่คือวัฒนธรรม: ถอดรหัส SCG ปั้น ‘องค์กรแห่งโอกาส’

ในส่วนที่เกี่ยวกับการขาดทุนตามที่รายงาน คุณจันทนิดาได้ชี้แจงเพื่อคลายความกังวลว่า รายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (Inventory Loss) ที่มีมูลค่า 1,350 ล้านบาท นั้น เป็นเพียงรายการทางบัญชี (Non-Cash) ที่ต้องดำเนินการทุกไตรมาสตามมาตรฐาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและตีมูลค่าสินค้าคงคลังให้เป็นไปตามราคาตลาดที่คาดว่าจะขายได้จริงในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามหลักการระมัดระวัง (Conservative) และเน้นย้ำว่า ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อกระแสเงินสด ของบริษัท

ชูกลยุทธ์หลัก 4 ด้าน: เดินหน้าเสริมภูมิคุ้มกันและสร้างการเติบโต

SCG เตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย 4 กลยุทธ์หลัก

SCG เตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ดังนี้:

  1. วินัยทางการเงินและความเข้มแข็งทางธุรกิจ: เน้นการควบคุมกระแสเงินสด การลดต้นทุนด้วยการนำ AI และ Roboticsมาใช้ในการผลิตและการจัดการวัตถุดิบ รวมถึงการพิจารณา ปิดหน่วยธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เพื่อหยุดการขาดทุนและทำให้กระแสเงินสดดีขึ้น
  2. รวมศูนย์การผลิต (Regional Operation): ปรับโครงสร้างการผลิตในอาเซียน โดยการรวมศูนย์การผลิตสินค้าบางประเภท (เช่น กระเบื้องหลังคาคอนกรีต) ไว้ในประเทศเดียวเพื่อสร้างขนาด (Scale) และเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน AI/Robotics ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด
  3. มุ่งเน้นตลาดที่เติบโตสูง: เร่งขยายการลงทุนในตลาดที่ยังเติบโตโดดเด่น เช่น เวียดนาม ซึ่งคาดการณ์ว่า GDP จะโต 7-8% โดยใช้เวียดนามเป็นฐานในการผลิตและส่งออก
  4. ขยายพอร์ตสินค้า Smart Value และ Green: ปรับตัวตามกำลังซื้อของตลาดที่ชะลอตัว ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ “คุ้มค่า” (Smart Value/Affordable) ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้า กรีน (Green Product) เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน

กลยุทธ์เชิงรุก: การสร้างความยืดหยุ่นที่พลิกผัน และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคต

SCG Chemicals (SCGC): พลิกผันราคาสู่โอกาส ด้วยความยืดหยุ่นของโรงงานระดับโลก

ด้าน ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวว่า ธุรกิจเคมิคอลส์ในไตรมาสที่ 3 เผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง ทำให้ส่วนต่างกำไร (Margin) ของเม็ดพลาสติกแคบลงอย่างหนัก จากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และแรงกดดันจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม SCGC ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันและแสดงศักยภาพในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

หัวใจสำคัญที่ช่วยให้ SCGC สามารถรับมือกับต้นทุนที่ผันผวนได้ คือความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ (Feedstock Advantage) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโรงงาน LSP (Long Son Petrochemicals) ในประเทศเวียดนาม โรงงานแห่งนี้มีความโดดเด่นในระดับโลก เนื่องจากมี ความยืดหยุ่นในการใช้โพรเพน (Propane) เป็นวัตถุดิบได้สูงถึง 70% ซึ่งในช่วงปลายไตรมาส 3 ราคาโพรเพนได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ SCGC สามารถปรับสัดส่วนวัตถุดิบไปใช้โพรเพนราคาถูกได้มากที่สุดทันที ลดผลกระทบจากราคาแนฟทาที่สูงกว่าและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้

ในส่วนของการวางรากฐานระยะยาว SCGC ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA – High Value Added) และสินค้า Recycle อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ โดยมีการพิจารณาโอกาสในการ จำหน่ายสินทรัพย์ ที่ไม่ก่อให้เกิดกำไรหรือมีผลกระทบต่อบริษัทน้อยออกไป เพื่อลดภาระหนี้สินและเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้พร้อมสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในอนาคต

SCG Cement and Green Solution: พลิกวิกฤติสู่โอกาส นำทัพด้วยปูนคาร์บอนต่ำและฐานผลิตเวียดนาม

ในส่วนของ สุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG Cement and Green Solution ได้รายงานผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของธุรกิจ ซึ่งยังคงสามารถทำกำไรได้ดีที่ 1,600 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 แม้จะต้องเผชิญกับช่วง Low Season ของภาคการก่อสร้างในประเทศไทย ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนผลกำไรนี้มาจากการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคู่ไปกับการเติบโตของตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวียดนามและกัมพูชาที่มีแรงหนุนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ความสำเร็จในการทำกำไรดังกล่าวมาจากการมุ่งเน้นลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนมาใช้ เชื้อเพลิงทดแทน (Biomass และ RDF จากขยะ) แทนถ่านหินในโรงงานซีเมนต์อย่างจริงจัง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังสอดคล้องกับแนวทางด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับกระบวนการผลิตด้วยการนำ Automation และหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในส่วนสำคัญ เช่น การยกถุงปูนซีเมนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และตอบโจทย์ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

ในด้านนวัตกรรม ไฮไลท์สำคัญและเป็น “พระเอก” ของธุรกิจคือการเปิดตัว ปูนคาร์บอนต่ำ Generation 3 (LC3 – Limestone Calcined Clay Cement) ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ที่จะทิ้งห่างคู่แข่งในภูมิภาค ปูน LC3 นี้ถูกพัฒนาให้ ลดการใช้ปูนซีเมนต์ลง และเพิ่มส่วนผสมของดินขาวเผา (Calcined Clay) เข้าไปแทน ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30% ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ปูน LC3 นี้มี ต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า ปูนคาร์บอนต่ำ Gen 1 และ Gen 2 ทำให้สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความคุ้มค่าด้านราคาไปพร้อมกัน

เอสซีจี ขยายฐานการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนาม ผลักดันการส่งออก พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ Distributor

พร้อมกันนี้ ธุรกิจยังใช้ฐานการผลิตในเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ให้เป็นฐานหลักในการผลิตและส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปยังตลาดโลก เช่น สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย การมีฐานการผลิตที่กระจายตัวในภูมิภาคเช่นนี้ช่วยเสริมความยืดหยุ่นในการจัดส่งสินค้าและบริหารกำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบรับทั้งดีมานด์ในประเทศและโอกาสทางการค้าต่างประเทศ

SCG Packaging (SCGP) และ SCG Decor: การเติบโตในตลาดอาเซียน

ข้อมูลภาพรวมจาก คุณธรรมศักดิ์ ระบุถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ดังนี้: SCGP (ธุรกิจแพคเกจจิ้ง) มีกำไร 953 ล้านบาท โดยตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนฟื้นตัวจากอุปสงค์ภายในประเทศและภาคการส่งออก ธุรกิจเน้นการขยายตัวในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภค และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็น 38.6% และ SCG Decor มีกำไร 305 ล้านบาท โดยมีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ PRIME เวียดนามเป็นฐานการผลิตส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกไปทั่วภูมิภาคอาเซียน

สรุปมุมมองและทิศทาง: สร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง

คุณธรรมศักดิ์กล่าวสรุปมุมมองและทิศทางว่า แม้ว่าพายุเศรษฐกิจโลกจะยังคงยืดเยื้อและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจนขึ้น แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่ามาตรการที่ดำเนินการมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ได้สร้าง “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” ให้กับธุรกิจ ทำให้ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสถานการณ์ที่ท้าทายต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCGP กาง 3 กลยุทธ์: ซื้อกิจการอินโดฯ – ลดพึ่งจีน – ลุย Healthcare

MINISO LAND: จักรวาล IP ใจกลางสยามสแควร์ กลยุทธ์มินิโซสู่การเป็น ‘เจ้าพ่อ IP’ ค้าปลีกโลก

บ้านปู ควบรวม BPP ตั้ง ‘NewCo’ ชูกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ รับพลังงานยุค AI

×

Share

ผู้เขียน