Share on
×

Share

พาทัวร์ Hatch Dome: อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

พาทัวร์ Hatch Dome: อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ลองนึกภาพโดมทรงกลมขนาดมหึมา ส่องแสงระยิบระยับเหนือสายน้ำเจ้าพระยาในยามค่ำคืน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบไบโอฟิลิกที่กลมกลืนกับธรรมชาติรอบข้าง นี่คือ Hatch Dome อาคารจัดแสดงแบบอินเทอร์แอคทีฟรูปทรงโดม ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 ภายใต้วิสัยทัศน์ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น (AWC) ที่ต้องการสร้างโลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ ด้วยการผสานความบันเทิงเข้ากับความยั่งยืนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนและผู้คนตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ผู้บริหารของ AWC กล่าวว่า Hatch Dome คือผลงานที่ตอกย้ำพันธกิจ “Building Better Future for All สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน” ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืน โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือครั้งสำคัญของ AWC กับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน อาทิ กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

AWC เตรียมเปิดตัว ‘Jurassic World’ ที่เอเชียทีค ในไตรมาส 2/2568

ประสบการณ์การเรียนรู้เชิงอิมเมอร์ซีฟ 8 โซน

ด้วยพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร Hatch Dome ตั้งอยู่ใกล้กับ Jurassic World: The Experience ซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับโลก นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่มากกว่าความบันเทิง แต่เป็นการสัมผัสโลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ โดยมีไฮไลต์คือ “Better World, Better Future” — พื้นที่เรียนรู้ด้านความยั่งยืนผ่านเทคโนโลยี Liminal Space 4D ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ด้วยจอ LED อิมเมอร์ซีฟกว่า 160 ตารางเมตร ผ่านประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟทั้ง 8 โซนที่ออกแบบมาเพื่อผู้เข้าชมทุกวัย

Hatch Dome

โซนที่ 1  Better World, Better Future (โลกยั่งยืน) โถงต้อนรับที่พาผู้ชมเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการในอนาคต เพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ด้านความยั่งยืนครั้งใหม่

โซนที่ 2 Last Human Hope (ความหวังสุดท้าย) ถ่ายทอดสถานการณ์จำลองภัยพิบัติและความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกผ่านจอขนาดใหญ่ 4 ด้าน สร้างความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นบนโลกที่ซึ่งมนุษยชาติไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

โซนที่ 3 Impact Horizon’s Journey (เดินทางตามขอบฟ้า) จำลองการเดินทางผ่านยานอวกาศเพื่อย้อนเวลากลับไปยังช่วงการสูญพันธุ์ทั้ง 5 ยุคในประวัติศาสตร์ รวมถึงยุคไดโนเสาร์เมื่อ 66 ล้านปีก่อน เพื่อค้นหาช่วงเวลาที่มนุษยชาติยังสามารถย้อนกลับไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้

โซนที่ 4 Make Our Choice (เส้นทางที่แตกต่าง) เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เลือกเส้นทางของตนเอง โดยเปรียบเทียบระหว่างการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน กับการเดินตามเส้นทางเดิมที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม

โซนที่ 5  No Change (ไร้การเปลี่ยนแปลง) สถานการณ์จำลองที่สะท้อนผลลัพธ์ของการไม่ลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลง ผ่านประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟเสมือนจริงของเหตุการณ์ภัยพิบัติและหายนะ

โซนที่ 6 Our Future (อนาคตของเรา) โซนอินเทอร์แอคทีฟที่นำเสนอความรู้สู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ไปจนถึงการส่งเสริมแนวคิดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ 3BETTERs ของ AWC

โซนที่ 7 Trees of Lives (ชีวิตแห่งความหวัง) พื้นที่แห่งความหวังที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชม ได้ร่วมแสดงเจตจำนงการมีส่วนร่วมในการรักษาโลก ผ่านพันธสัญญาเพื่อร่วมกันดูแลโลกใบนี้ให้ดียิ่งขึ้น เพื่ออนาคตของคนรุ่นถัดไป

โซนที่ 8 Rebirth (ตื่นรู้) เดินทางสู่สถานีสุดท้าย ที่ผู้ชมจะได้กลับมาซึมซับเสียงและความงดงามแห่งธรรมชาติอีกครั้ง เพื่อสะท้อนความคิด การตระหนักรู้ และปลุกจิตสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง สู่การสร้างสรรค์โลกที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

Jurassic World เอเชียทีค พร้อมเปิดให้ผจญภัย 8 ส.ค. นี้ บัตรราคาเริ่มต้น 579 บาท

จากฟอสซิลจริง สู่ชุมชนยั่งยืน

นักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังมีโอกาสได้ชมมรดกธรณีวิทยาของไทยที่โซน “Fossil Park” ซึ่งจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของจริงและแบบจำลองไดโนเสาร์และสัตว์เลื้อยคลานบินได้ 14 สายพันธุ์ ที่พบได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เช่น “สยามโมไทรันนัส อีสานเอนซิส” และ “การูแดปเทอรัส บุฟโตติ” ผ่านแบบจำลองสามมิติเสมือนจริงด้วยระบบ QR Code เพื่อเข้าถึงข้อมูลด้านวิชาการในรูปแบบที่เข้าใจง่าย

โซน “Snake Garden” เป็นสถานที่จัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์จนถึงปัจจุบัน โดยเน้นประเด็น ความหลากหลายทางชีวภาพ และบทบาทของสัตว์เลื้อยคลานในระบบนิเวศของไทย

และปิดท้ายด้วย The Gallery Art of Giving, Giving Art Community Project Hatch Dome ร้านค้าวิสาหกิจเพื่อสังคมที่จำหน่ายสินค้าชุมชนคอลเลกชั่นพิเศษเกี่ยวกับไดโนเสาร์ภายใต้คอนเซ็ปต์ From The Earth Before Time อาทิ พวงกุญแจ ถุงผ้า และตุ๊กตาไดโนเสาร์ลายผ้าขาวม้า จากกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านดงน้อย และชุมชนดีไดโนสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อนำรายได้กลับคืนสู่ชุมชน

Hatch Dome

สร้างธุรกิจยั่งยืนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า Hatch Dome เป็นการสร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ด้านความยั่งยืนในรูปแบบใหม่ และสะท้อนความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ผ่านการสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่สนุกสนานสำหรับเยาวชนและครอบครัว สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนด้วยกรอบ ESG 3 เสาหลัก ได้แก่

  1. BETTER PLANET (สิ่งแวดล้อม): AWC ตั้งเป้าสู่ Carbon Neutral ภายในปี 2573 ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การพัฒนาโครงการตามมาตรฐานอาคารสีเขียว และการริเริ่มโครงการ เช่น “reConcept ที่นำเฟอร์นิเจอร์โรงแรมกลับมาใช้ใหม่หรือจำหน่ายเพื่อลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ
  2. BETTER PEOPLE (สังคม): มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนรอบโครงการ โดยผ่านการสร้างงาน ส่งเสริมอาชีพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น “เดอะ GALLERY” โครงการเพื่อชุมชนของบริษัทฯ เป็นตัวอย่างสำคัญที่สร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม
  3. BETTER PROSPERITY (เศรษฐกิจ): สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่นไปพร้อมกับการพัฒนาโครงการคุณภาพในรูปแบบ AWC’s Lifestyle Destination เพื่อให้เกิดการทวีคูณของรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งเสริมการสร้างงานและรายได้สู่ชุมชนโดยรอบ

อาจกล่าวได้ว่าHatch Dome ไม่ได้เป็นเพียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านความยั่งยืนที่ใช้พลังของเทคโนโลยีและความบันเทิงในการจุดประกายจิตสำนึกให้เยาวชนและครอบครัว ร่วมกันสร้าง “โลกที่ดีกว่า” เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Lifestyle Medicine: ศาสตร์ 6 เสาหลัก พลิกโรคเรื้อรังด้วย ‘วินัย’ ไม่ใช่ ‘ทางลัด’

ดีอี-สธ. เชื่อม ‘Health Link’ และ ‘หมอพร้อม’ สู่บริการสาธารณสุขดิจิทัล

×

Share

ผู้เขียน