Share on
×

Share

ถอดรหัส ‘ประโยชน์สุข’ SCG: โมเดลปลดล็อก 7 ผู้นำชุมชน พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืน

ถอดรหัส ‘ประโยชน์สุข’ SCG: โมเดลปลดล็อก 7 ผู้นำชุมชน พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืน

ในหลายชุมชน มักมีผู้นำหรือปราชญ์ชาวบ้านที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจจริงในการพัฒนาท้องถิ่น ทว่าบ่อยครั้ง ความมุ่งมั่นเหล่านั้นกลับต้องเผชิญกับ ‘จุดตัน’ หรือสภาวะทางแพร่งที่ยากจะก้าวข้าม ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ ความขัดแย้งส่วนตัว การขาดองค์ความรู้สมัยใหม่ หรือแม้แต่การติดกับดักความสำเร็จของตนเองในอดีต

เรื่องราวของ 7 ผู้นำชุมชนต่อไปนี้ คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความท้าทายดังกล่าว พวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม แต่ต่างก็กำลังเผชิญกับทางแพร่งของตนเอง จนกระทั่งการเข้ามาของโครงการ ‘ประโยชน์สุข’ โดย SCG ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สนับสนุน แต่เป็น ‘พี่เลี้ยง’ และ ‘ผู้จุดประกาย’ ช่วยให้พวกเขาสะเด็ดปัญหา ค้นพบแนวทางใหม่ และปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของชุมชน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ปลดล็อกกำแพงในใจ: เมื่อมรดกครอบครัวคือความขัดแย้ง

ในบางครั้ง อุปสรรคที่ขัดขวางการพัฒนาที่ใหญ่หลวงที่สุด อาจไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่คือ ‘กำแพงในใจ’ ของผู้สืบทอดเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมรดกทางภูมิปัญญานั้น สวนทางกับความเชื่อหรือเส้นทางชีวิตที่ตนเองเลือกเดิน

กรณีของ สุจิตรา ป้านวัน (พี่หนู) ประธานชุมชนวังขรีวิถียั่งยืน ผู้สานต่อตำนาน “ข้าวไร่วังขรี” อ.ทุ่มสง จ.นครศรีธรรมราช สะท้อนประเด็นนี้อย่างชัดเจน เธอยอมรับว่าตนเองมีความขัดแย้งในใจกับแม่มาโดยตลอด แม้ว่าแม่ของเธอจะได้รับการยกย่องเป็นถึง ‘มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านข้าวไร่’ แต่ภาพที่เธอเห็นจนชินตาคือความเหนื่อยยากแสนสาหัสของแม่ ที่ต้องกรีดยางตอนเที่ยงคืน และลุกไปเก็บข้าวไร่ต่อในเวลาตีสอง

ในขณะเดียวกัน คุณสุจิตราเองก็มีเส้นทางชีวิตที่ชัดเจน คือการทำงานดูแลเด็กเปราะบางมายาวนานถึง 17 ปี เมื่อแม่ขอให้เธอกลับมาช่วยทำไร่ เธอจึงปฏิเสธ เธอมองว่าข้าวไร่เป็นงานหนักที่ให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า (กิโลกรัมละ 50 บาท) ความขัดแย้งนี้รุนแรงถึงขั้นที่เธอไม่กลับบ้านนานนับเดือน และตัดการสื่อสารกับครอบครัว

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในบ่ายวันศุกร์หนึ่ง เมื่อเธอกลับไปบ้านและได้เห็นภาพที่พ่อกับแม่กำลังลากข้าวเปลือกที่ตากไว้หนีฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ภาพนั้นทำให้เธอสะท้อนใจว่า ในฐานะลูก ทำไมเธอถึงไม่ช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน

เธอจึงตัดสินใจเข้าไปขอให้แม่สอน และเริ่มต้นปลูกข้าวไร่ด้วยตัวเองบนพื้นที่ 2 ไร่ ประสบการณ์ตรงทำให้เธอเข้าใจความยากลำบากอย่างแท้จริง เธอต้องใช้เวลาหลังเลิกงานราชการ คือ 6 โมงเย็น ใช้เคียวเกี่ยวข้าวทีละรวง และเธอถึงกับร้องไห้เมื่อฝนตกใส่ข้าวที่ตากไว้จนเสียหาย ในขณะที่เธออยู่ที่ทำงาน

แม้จะเริ่มทำเพราะความสงสารแม่ แต่ ‘จุดตัน’ ที่แท้จริงยังไม่ถูกปลดล็อก จนกระทั่งโครงการประโยชน์สุข (SCG) ได้ตั้งคำถามสำคัญว่า ‘พี่หนูมีแบรนด์เป็นของตัวเองไหม’

คำถามนี้เปรียบเสมือนกุญแจที่ช่วยปลดล็อกคุณสุจิตราออกจากร่มเงาของแม่ เธอตระหนักว่าเธอสามารถสืบสานมรดกนี้ได้ในแนวทางของตนเอง จึงเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์ ‘ข้าวไร่วังขรี’ ซึ่งแยกจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเดิมของแม่ที่มีแต่ผู้สูงอายุ ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการคลี่คลายปมขัดแย้งในใจที่สะสมมานาน ทำให้เธอสามารถกลับมาพูดคุยและสนิทกับแม่ได้มากขึ้นกว่าเดิม

ปลดล็อก‘ภาวะผู้นำ’: จาก‘ทะเลแหวก’ สู่การบริหารแบบมีส่วนร่วม

ภาวะผู้นำที่เข้มแข็งคือสินทรัพย์ล้ำค่าของชุมชน แต่หากภาวะผู้นำนั้นขาดการมีส่วนร่วมที่แท้จริง ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นจุดอ่อนที่สร้างความเปราะบาง และทำให้ผู้นำต้องเหนื่อยล้าอยู่เพียงลำพัง

นี่คือบทเรียนสำคัญของ กัญญ์ศิริ ยิ้มประสิทธิ์ (พี่ปู) ประธานเครือข่าย OTOP อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ประธานตลาดวัฒนธรรมลาวเวียง ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น เธอตั้งเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง คือการลบภาพจำของ อ.ท่ามะกา จากการเป็นเพียง ‘เมืองผ่าน’ ที่นักท่องเที่ยวขับรถผ่านเลยไป เธอได้ริเริ่มโครงการตลาดท่องเที่ยววิถีชุมชนที่วัดตะคร้ำเอน โดยเริ่มต้นจาก ‘งบประมาณ 0 บาท’ อาศัยเพียงการสนับสนุนจากทางวัด

ทว่าอุปสรรคแรกที่เธอต้องเผชิญไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่อง ‘คน’ นั่นคือการบริหารจัดการกลุ่มแม่ค้าเดิมในพื้นที่ ซึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้เตือนไว้ว่าเปรียบเหมือน “เสือหลายตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”

เมื่อเข้าร่วมโครงการประโยชน์สุข (SCG) คุณกัญญ์ศิริได้นำปัญหานี้ไปหารือ จนตกผลึกเป็นแนวทาง ‘พัฒนาอย่างมีส่วนร่วม’ เธอได้ดึงกลุ่มผู้นำต่างๆ ที่เปรียบเหมือน ‘เสือ’ ทั้งหลาย เข้ามาเป็นกรรมการบริหารชุดเดียวกัน และร่วมกันทำ SWOT Analysis กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ตลาดสามารถติดได้ภายใน 2 เดือน (เร็วกว่าเป้าหมาย 3 เดือน) และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ

แต่ความสำเร็จนั้นกลับไม่ยั่งยืน เมื่อวิกฤติครั้งใหม่มาเยือนช่วงหลังสงกรานต์ ยอดขายที่เคยสูงถึงหลักแสนกลับลดฮวบเหลือเพียง 50,000-60,000 บาท เมื่อเผชิญกับแรงกดดัน คุณกัญญ์ศิริหวนกลับไปใช้รูปแบบการนำแบบเดิมของเธอ คือการ ‘สั่ง ๆ ๆ อย่างเดียว’

ผลลัพธ์คือ เธอได้กลายเป็นศูนย์กลางของปัญหาและแบกรับความเหนื่อยล้าไว้เพียงคนเดียว จนเธอเปรียบเปรยสภาพตัวเองว่า “ห้ามเจ็บห้ามป่วยห้ามตายทุกสองอาทิตย์”

ในการอบรมรอบที่สองกับโครงการประโยชน์สุข เธอได้รับฟีดแบ็กที่ตรงไปตรงมาและเปลี่ยนแปลงมุมมองของเธอไปตลอดกาล วิทยากรได้สะท้อนภาพให้เธอฟังว่า “เวลาพี่ปูเดินเข้ามาเนี่ย เหมือนทะเลแหวก”

เหตุผลนั้นเรียบง่ายแต่เจ็บปวด นั่นคือ “เขากลัวดิฉันค่ะ เขาบอกดิฉันดุ” ทีมงานไม่เคยแสดงความคิดเห็นใด ๆ ทำเพียงรับฟังคำสั่ง เพราะความเกรงกลัวในตัวเธอ การปลดล็อกที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นเมื่อคุณกัญญ์ศิริตระหนักว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตลาด แต่อยู่ที่ตัวเธอเอง เธอจึงตัดสินใจ ‘ลดตัวลงมา’ และเรียกประชุมเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างจริงจัง

ผลลัพธ์คือการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบัน คณะกรรมการทุกคนไม่ได้รอรับคำสั่งอีกต่อไป แต่ได้ก้าวเข้ามา ‘บริหารตลาดร่วมกัน’ กับเธอ ทำให้คุณกัญญ์ศิริสามารถบริหารตลาดได้อย่างยั่งยืน และ “ไม่เหนื่อยอีกต่อไป”

ปลดล็อกผลิตภัณฑ์’ : เมื่อของดีดั้งเดิมไปต่อไม่ได้

วิกฤติเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค ถือเป็น ‘จุดตัน’ สำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมของชุมชน แม้จะเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางภูมิปัญญาเพียงใด ก็อาจไม่สามารถอยู่รอดได้ในตลาดปัจจุบัน การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือหนทางรอดเดียว

จากผ้าทอผืนละแสน สู่ผ้าพันคอที่เข้าถึงได้

กรณีของ แม่วรรณา พิมพันธุ์ เจ้าของผ้าทอลายโบราณ แบรนด์ “สิริวรรณา” จ.อุทัยธานี คือตัวอย่างที่ชัดเจน คุณแม่วรรณา อดีตครูคณิตศาสตร์ ได้ใช้ทักษะความรู้ด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์ มาถอดรหัสภูมิปัญญาดั้งเดิม เธอริเริ่มจากการทำโครงงานคณิตศาสตร์กับนักเรียน โดยนำลายผ้าโบราณของตระกูลลาวครั่ง (ลาวข้าง) และลาวเวียง มา ‘แกะรอยแกะลาย’ ด้วยการพล็อตเป็นกราฟ โครงงานนี้ไม่เพียงชนะรางวัลระดับประเทศ แต่ยังได้รับคำชื่นชมจากกรมสมเด็จพระเทพฯ ถึงความสามารถในการถอดรหัสลายผ้าที่ซับซ้อน

สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เธอเก็บรวบรวมลายผ้าโบราณไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่ ‘จุดตัน’ ก็มาถึง เมื่อผ้าทออุทัยธานี ซึ่งเป็นสินค้าราคาสูง (มีราคาตั้งแต่ 20,000-30,000 บาท ไปจนถึงหลักแสน) ต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 เมื่อนักท่องเที่ยวหายไป ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและคนรุ่นใหม่หันไปใช้ของราคาถูก ผ้าทอเหล่านี้จึงขายไม่ออก

แม้คุณแม่วรรณาจะเกษียณออกมาเรียนทอผ้าอย่างจริงจัง แต่เธอก็ยังยึดติดอยู่กับกรอบคิดเดิม คือการ “นั่งทอผ้าอยู่เหมือนเดิม” จนกระทั่งได้เข้าร่วมโครงการประโยชน์สุข (SCG) ซึ่งเข้ามาให้มุมมองใหม่ทางธุรกิจ ทีมงานได้ชี้ให้เห็นว่า “ภาพที่เป็นเม็ด ๆ มันขายยาก” กล่าวคือ ลายผ้าที่ซับซ้อนและมีคุณค่าสูงในเชิงศิลปะ กลับกลายเป็นอุปสรรคในการจำหน่ายในภาวะวิกฤติ โครงการฯ จึงแนะแนวทางให้ ‘เปลี่ยน’ โดยการนำผ้าผืนใหญ่มา ‘แปรรูป’ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น การตัดเย็บเป็น ‘ผ้าพันคอ’ และนำไป ‘มัดย้อม’ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความหลากหลาย

จากปลาส้มเน่าสู่ปลาส้มเนื้อแน่นขาวอวบ

ถอดรหัส ‘ประโยชน์สุข’ SCG: โมเดลปลดล็อก 7 ผู้นำชุมชน พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืน

ในขณะที่คุณแม่วรรณาเผชิญวิกฤติจากตลาด ผู้ใหญ่ลั่นทม โชติดิลก ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปถนอมอาหาร เข้าของ “ปลาส้มผู้ใหญ๋ลั่นทม”​เจ้าแรกและเจ้าเดียว อ.วังชิ้น จ.แพร่กลับเริ่มต้นจากวิกฤติในตัวผลิตภัณฑ์ กลุ่มของเธอซึ่งเกิดจากการรวมตัวของแม่บ้าน เริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูก จนเจอปัญหาใหญ่คือ “ทำแล้วเละ ทำแล้วเน่า ทำแล้วเสีย” และที่สำคัญคือ “ทำแล้วจะไปขายที่ไหน”

ผู้ใหญ่ลั่นทมไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการลองใหม่ แต่ด้วยการวิเคราะห์จนพบว่าสาเหตุหลักคือ ‘วัตถุดิบ’ ที่ไม่สดและไม่สะอาด เธอจึงปลดล็อกขั้นแรกด้วยการใช้เครือข่ายที่มี สร้างช่องทางรับซื้อปลานิลสดจากแหล่งเลี้ยงแปลงใหญ่ในภาคเหนือโดยตรง

จากนั้น เธอได้พัฒนาเทคนิคการแปรรูปที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นหัวใจของสโลแกน ‘เนื้อแน่น ขาว อวบ’

กระบวนการ กลุ่มของเธอใช้ ‘ช้อนแกง’ ในการขอดเกล็ดปลาแทนการใช้แผงตะปูตอก เพราะเธอทดลองแล้วพบว่าตะปูหรือเครื่องจักรจะทำให้เนื้อปลา ‘ช้ำ’

เนื้อแน่น เกิดจากปลาที่สดจริง หากกดแล้วเนื้อบุ๋มจะไม่รับมาทำเด็ดขาด

ขาว เกิดจากเทคนิคพิเศษที่ไม่ปล่อยให้ปลาตายเองและไม่ทุบหัวปลา ทำให้ไม่มีเลือดตกค้างในกล้ามเนื้อ กระบวนการนี้ยังช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของปลานิล คือ ‘กลิ่นดินกลิ่นโคลน’ ได้อีกด้วย

อวบ มาจากการคัดเลือกปลาที่อายุเกิน 6 เดือน ซึ่งกระดูกจะไม่แข็งจนเกินไป ทำให้แปรรูปได้ง่ายกว่า

แม้จะประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ผู้ใหญ่ลั่นทมก็ยังยอมรับว่าเธอยังมี ‘จุดตัน’ ด้านการตลาด ด้วยมุมมองที่ “เล็ก ๆ แคบ ๆ” โดยเน้นการขายผ่านงาน OTOP เป็นหลัก โครงการประโยชน์สุข (SCG) ได้เข้ามาช่วยปลดล็อกโลกทัศน์นี้ โดยผลักดันเธอเข้าสู่ ‘ยุคไอที’ และให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า “แม่มีเพจใช่ไหม แม่ก็ลงคลิปสม่ำเสมอ” เพื่อเปิดการมองเห็นไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ๆ สู่โลกออนไลน์

ปลดล็อกคุณค่า’ : ปั้นของถูกเมินให้เป็นสินค้าสร้างอาชีพ

ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายในชุมชนมักถูกมองข้าม การปลดล็อกในส่วนนี้คือการมองเห็น ‘คุณค่า’ ที่ซ่อนอยู่ และนำมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาด

จากมัลเบอร์รี่ กิโลกรัมละ 10 บาท สู่ขนมขบเคี้ยวร่วมสมัย

กรณีของ แม่กุล-ณพัช ติมนท์อนันท์อัครเดชา ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรแปรรูป ย้ายน่าน อ.เวียงสา จ.น่าน คือตัวอย่างของการเชื่อมโยงจุดที่ขาดหายไป คุณแม่กุล เป็นข้าราชการเกษียณที่อยากสร้างอาชีพให้ชุมชน แต่ยอมรับว่าตนเอง “ยังไม่มีแนวทาง” ว่าควรจะทำอย่างไร การเข้าร่วมโครงการประโยชน์สุข (SCG) ได้มอบ ‘แนวคิด’ และ ‘แนวทาง’ ที่ชัดเจน ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างตลาด

เมื่อเธอกลับไปสำรวจชุมชน เธอพบว่ามีการปลูก ‘ต้นหม่อน’ (มัลเบอร์รี่) จำนวนมากตาม “หัวไร่ปลายนา” ซึ่งชาวบ้านปลูกไว้รับประทานในครัวเรือน เพราะเห็นคุณค่าทางอาหาร (มีสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์สูง) แต่ส่วนที่เหลือกลับถูกนำไปขายในราคาที่ต่ำมาก เพียง กิโลกรัมละ 10-20 บาทเท่านั้น

จุดที่น่าสนใจคือ จ.น่าน มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่าง “ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ” ซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกรบนที่สูงปลูกหม่อน (ทั้งพันธุ์เก็บใบและเก็บผล) เพื่อทดแทนการปลูกพืชไร่เลื่อนลอยอย่างข้าวโพดอยู่แล้ว ทำให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่โครงการหลวงและมีห้องเย็นเก็บรักษา

คุณแม่กุลจึงปลดล็อกคุณค่าที่ถูกมองข้ามนี้ โดยเชื่อมโยงวัตถุดิบราคาถูกที่มีอยู่มหาศาล เข้ากับองค์ความรู้ใหม่ที่ได้มา เธอได้ไปสำรวจตลาดเพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมายอย่าง “วัยรุ่น” ต้องการผลิตภัณฑ์แบบไหน ผลลัพธ์คือการแปรรูปมัลเบอร์รี่ ไม่ใช่แค่แยมแบบดั้งเดิม แต่เป็น 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่ ได้แก่ มัลเบอร์รี่แก้วสามรส, มัลเบอร์รี่หนึบธรรมชาติ, และ มัลเบอร์รี่คลุกบ๊วย ปัจจุบัน สินค้าเหล่านี้ได้ขึ้นทะเบียน OTOP และเริ่มทดลองวางจำหน่ายตามร้านกาแฟและร้านขายของฝากในจังหวัดน่านแล้ว

จากตำนาน ‘น้ำตาแม่หม้าย’ สู่ยาสามัญประจำบ้าน

ในขณะที่คุณแม่กุลเริ่มต้นจากวัตถุดิบ แม่ดารี-จิจานันท์ พรรณา เจ้าของสมุนไพรนวดน้ำตาแม่หม้าย แบรนด์ “ดารีสมุนไรออแกนิค”​อ.วังชิ้น จ.แพร่ เริ่มต้นจาก ‘ปัญหาสังคม’ ที่ชัดเจน คุณแม่ดารี ในฐานะ “พี่เลี้ยงชุมชน” และ “ปราชญ์ชาวบ้าน” เผชิญความจริงที่ว่า จ.แพร่ เป็นจังหวัดที่มีผู้สูงอายุมากเป็น ลำดับ 3 ของประเทศ

ปัญหานี้ นำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพที่แพร่หลายคือ ‘อาการปวดเมื่อย’ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุ แต่ยังรวมถึงคนวัยทำงาน (“ทำไร่ทำสวน”) และแม้กระทั่งเด็กนักกีฬา อุปสรรคสำคัญคือ “จะไปซื้อยาก็แพง”

คุณแม่ดารีจึงรวบรวม ‘หมอชาวบ้าน’ และ ‘ปราชญ์ชาวบ้าน’ เพื่อพัฒนาสมุนไพรนวดที่เป็น ‘ออร์แกนิก’ ไม่ใช้สารเคมี พวกเขาพบว่า แม้จะมีหลายสูตร แต่มีสมุนไพรหลัก 2 ชนิดที่ทุกตำรับยอมรับคือ ‘ไพร’ (ที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ปู่เลย’) และ ‘น้ำตาแม่หม้าย’

‘น้ำตาแม่หม้าย’ คือเถาวัลย์ท้องถิ่นที่มีเรื่องเล่าอันเป็นอัตลักษณ์ ที่มาของชื่อมีสองนัย หนึ่งคือ เถาวัลย์นี้เหนียวมาก ต้องใช้คน ‘ไปคู่’ ถึงจะดึงขาด หาก ‘ผีแม่ม่าย’ (หญิงม่าย) ไปคนเดียว จะดึงไม่ขาดและนั่งร้องไห้ สองคือ น้ำต้มจากเถาวัลย์นี้ใช้ดื่มเพื่อคลายปวดเมื่อย “แม่ม่ายก็มานั่งตักดื่มเพื่อคลายหมดเมื่อย” เพราะไม่มีคนนวดให้

พวกเขาได้นำสมุนไพรสองชนิดนี้ (ซึ่งรับมาจากสวนเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดสารพิษ 100%) มาทำเป็นยานวด และนำไปทดลองตลาดโดยการทำเป็น ‘ของที่ระลึก’ แจกใน ‘วันกตัญญู’ ช่วงสงกรานต์

ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์ ‘ใช้ดีบอกต่อ’ จนเกิดการปลดล็อกครั้งสำคัญ เมื่อชาวบ้าน ทั้งผู้สูงอายุและแม่บ้าน ต่างบอกว่า “โอ๊ยฉันไม่ทำ…ไม่มีเวลา” และร้องขอให้ทีมของคุณแม่ดารีผลิตเพื่อ “จำหน่ายในราคาที่ถูก” จากจุดนั้น ผลิตภัณฑ์แก้ปวดจึงถือกำเนิดขึ้น ไม่เพียงเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพในชุมชน แต่ยังสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน จากการจ้างงานคนในชุมชนให้ไปเก็บวัตถุดิบและจ้างแม่บ้านมาผลิต

อนาคตและความท้าทาย: เมื่อสำเร็จแล้วไปต่ออย่างไร

ถอดรหัส ‘ประโยชน์สุข’ SCG: โมเดลปลดล็อก 7 ผู้นำชุมชน พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืน

การปลดล็อกความสำเร็จในขั้นหนึ่ง ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของกระบวนการ แต่คือการก้าวไปสู่ ‘จุดตัน’ ใหม่ ที่มักจะท้าทายและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม

กรณีของ วารินทร์ อยู่สบาย (พี่ริน) เจ้าของ “กล้วยแต๊ดแต๋” แบรนด์ @บ่อดินขาว อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของวัฏจักรนี้ ชุมชนบ่อดินขาวมีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับ SCG มาตั้งแต่ยุคก่อตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ไทย เมื่อมีการขุดดินจากพื้นที่นี้ไปใช้ในการผลิต สิ่งที่ทิ้งไว้คือ ‘บ่อหน้า’ หรือบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่กลายเป็นแหล่งน้ำของชุมชน

ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป แหล่งน้ำเดิมกลับ “ไม่พอใช้” ชุมชนจึงเผชิญวิกฤติขาดแคลนน้ำ จนกระทั่งในปี 2561 ได้เกิดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำสระบ่อดินขาวขึ้น จากความร่วมมือของหลายภาคส่วนรวมถึง SCG โครงการนี้ประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นผืนดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์

แต่เมื่อวิกฤติแรกคลี่คลาย วิกฤติใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นจากความสำเร็จนั้นเอง นั่นคือปัญหา ‘ผลผลิตออกเยอะ’ หรือผลผลิตล้นตลาด โดยเฉพาะ “กล้วย” ซึ่งมีปริมาณมหาศาลจนชาวบ้าน “ไม่รู้จะเอาไปขายไหน” บางครั้งจำต้องตัดทิ้งหรือโยนให้นกกิน

จุดนี้เองที่นำไปสู่การ ‘ปลดล็อก’ ครั้งที่สอง ชุมชนได้รวมกลุ่มกันแปรรูปผลผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาคือ ‘กล้วยแต้แต๋’ ซึ่งได้ชื่อมาอย่างตรงไปตรงมาจากกระบวนการผลิต ที่นำกล้วยไปตากแห้งแล้ว “ทับแรงเยอะไปหน่อย” จนกล้วย “แบนแต้แต๋” โดย SCG ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนองค์ความรู้และให้คำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์

ความสำเร็จในการแปรรูปครั้งนี้ ได้นำพาชุมชนไปสู่ ‘จุดตัน’ ใหม่ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Big C ได้ติดต่อประสานงานกลับมา เพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่าย ทว่า โอกาสทองนี้กลับต้องหยุดชะงักลง ชุมชน “ไปต่อไม่ได้”

อุปสรรคครั้งใหม่นี้ไม่ใช่เรื่องการผลิตหรือการตลาด แต่เป็นเรื่อง ‘มาตรฐาน’ ที่จำเป็นสำหรับการก้าวสู่ตลาดสมัยใหม่ คุณวารินทร์ระบุชัดเจนว่า “ติดเรื่องเดียวค่ะ เรื่องมาตรฐาน ไปต่อไม่ได้อีก… เราจะไม่มีมาตรฐาน อย.”

เรื่องราวของชุมชนบ่อดินขาวจึงชี้ให้เห็นบทเรียนสำคัญว่า การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนไม่ใช่การแก้ปัญหาครั้งเดียวจบ แต่คือกระบวนการ ‘ปลดล็อก’ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่การปลดล็อกที่ ‘ใจ’ ของผู้นำ, สู่การปลดล็อก ‘ผลิตภัณฑ์’ ให้ตรงกับความต้องการของตลาด และท้ายที่สุด คือการปลดล็อก ‘มาตรฐาน’ เพื่อให้สามารถก้าวสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นต่อไป

ทั้งหมดนี้คือบทเรียนจาก 7 ผู้นำชุมชน ที่ต่างต้องเผชิญกับ ‘จุดตัน’ ในมิติที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ปมขัดแย้งภายในใจ, ภาวะผู้นำที่ยึดติด, ผลิตภัณฑ์ที่ไปต่อไม่ได้ในยุควิกฤติ, ไปจนถึงการมองไม่เห็นคุณค่าของดีใกล้ตัว โดยมีโครงการ ‘ประโยชน์สุข’ จาก SCG เป็น ‘พี่เลี้ยง’ ที่ไม่ได้เข้ามาให้ แต่เข้ามาช่วย ‘ปลดล็อก’ มุมมองและศักยภาพที่แท้จริง

เรื่องราวทั้งหมดจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่การแก้ปัญหาครั้งเดียวจบ แต่คือกระบวนการ ‘ปลดล็อก’ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่การปลดล็อกที่ ‘ใจ’ สู่ ‘ผลิตภัณฑ์’ และท้ายที่สุด คือการปลดล็อก ‘มาตรฐาน’ เพื่อก้าวสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ขาดทุนคือกำไร’ คืออะไร? ปรัชญา ‘ประโยชน์สุข’ ที่นักพัฒนารุ่นใหม่ต้องเข้าใจ

Cofact ชำแหละ 7 ประเภท ‘Disinformation’ ที่อันตรายกว่า Fake News

×

Share

ผู้เขียน