Share on
×

Share

Agoda เผย 67% ของนักพัฒนา ไม่ไว้ใจโค้ดที่ AI สร้างให้ 100%

Agoda เผย 67% ของนักพัฒนา ไม่ไว้ใจโค้ดที่ AI สร้างให้ 100%

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดตัวรายงาน “AI Developer Report 2025” ซึ่งเผยภาพที่น่าสนใจว่า แม้ AI จะกลายเป็นเครื่องมือปกติที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 95% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียใช้ทุกสัปดาห์ แต่การใช้งานยังเต็มไปด้วยความ “รอบคอบ” โดยเฉพาะในกลุ่มนักพัฒนาชาวไทย ที่แม้จะสงสัยในความสามารถของ AI มากที่สุด แต่กลับเป็นกลุ่มที่ดึงประสิทธิภาพ “การประหยัดเวลา” ออกมาได้มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

รายงานฉบับนี้ ซึ่งสำรวจนักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 600 คนใน 7 ประเทศ พบว่า AI ได้กลายเป็นเครื่องมือประจำวันไปแล้ว โดย 56% ของนักพัฒนาทั้งหมด เปิดผู้ช่วย AI ไว้ตลอดเวลา ปัจจัยหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพและความเร็ว โดย 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าใช้ AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน และ 37% ยืนยันว่าประหยัดเวลาได้ถึง 4–6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

AI ในฐานะ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ผู้สร้างผลงาน”

แม้ว่าการใช้งาน AI จะแพร่หลายอย่างสูงในกลุ่มนักพัฒนา แต่รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า สถานะของ AI ในปัจจุบันยังคงจำกัดอยู่ในบทบาทของ “เครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ” หรือ “ผู้ช่วย” มากกว่าที่จะถูกยกระดับให้เป็น “ผู้สร้างผลงาน” (Creator) หลัก

ปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการนำ AI ไปใช้อย่างเต็มศักยภาพ คือประเด็นด้าน “ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์” โดยมีนักพัฒนาถึง 79% ที่ระบุว่านี่คืออุปสรรคสำคัญต่อการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย

ความกังวลด้านความน่าเชื่อถือนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนผ่านกระบวนการทำงานที่เข้มงวดของเหล่านักพัฒนา ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบโดยมนุษย์ (Human-in-the-loop) เข้ามาควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิด ดังนี้:

  • การตรวจสอบอย่างละเอียด: นักพัฒนาส่วนใหญ่ถึง 67% ยืนยันว่า พวกเขาจะทำการตรวจสอบโค้ดที่ AI สร้างขึ้น “ทุกบรรทัด” ก่อนที่จะนำไปรวมเข้ากับงานหลักของตนเอง
  • การแก้ไขและปรับแต่ง: กว่า 70% ของนักพัฒนา ระบุว่า พวกเขามักจะต้อง “ปรับแต่งหรือแก้ไข” ผลงานที่ได้จาก AI เสมอ เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล
  • การประเมินความสามารถ: มุมมองนี้ยังสอดคล้องกับความเชื่อมั่นในความสามารถของ AI โดยมีนักพัฒนาเพียง 43% (หรือน้อยกว่าครึ่ง) เท่านั้น ที่เชื่อว่า AI สามารถทำงานได้ดีในระดับที่เทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง

พฤติกรรมรอบคอบของนักพัฒนาไทย

ในบริบทของประเทศไทย รายงานได้ระบุถึงข้อค้นพบที่น่าสนใจ โดยชี้ว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวไทยเป็นกลุ่มที่นำ AI มาใช้งานด้วยความ “รอบคอบ” (Cautious) มากที่สุด

ทัศนคติที่ระมัดระวังนี้ สะท้อนผ่านข้อมูลเชิงสถิติอย่างชัดเจน:

มีนักพัฒนาไทยเพียง 5% เท่านั้น ที่ “มั่นใจอย่างยิ่ง” (Highly Confident) ว่า AI สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับวิศวกรระดับกลาง ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 7 ประเทศที่ทำการสำรวจ

ในทางกลับกัน นักพัฒนาไทยถึง 41.3% แสดงความ “ไม่มั่นใจ” (Not Confident) ต่อการใช้ AI อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ความรอบคอบในการประเมินความสามารถของ AI นี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ข้อมูลกลับชี้ให้เห็นผลลัพธ์ในเชิงบวก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของนักพัฒนาชาวไทย (46.3%) ระบุว่า การใช้งาน AI ช่วยให้พวกเขา ประหยัดเวลาได้ 4-6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่านักพัฒนาในประเทศอื่น

ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า นักพัฒนาไทยมีแนวโน้มที่จะใช้วิจารณญาณสูง โดยเลือกใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการทำงานบางส่วน แทนที่จะพึ่งพา AI ไปตามกระแส และยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพของผลงานไว้เป็นหลัก

“พนักงาน” เร็วกว่า “องค์กร”

รายงานฉบับนี้ยังได้ฉายภาพความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “ความเหลื่อมล้ำ” ในการเข้าถึงการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับการขาดนโยบายกำกับดูแลที่เป็นรูปธรรมจากองค์กร

ในปัจจุบัน พบว่านักพัฒนามีความตื่นตัวอย่างสูง โดยกว่า 87% กำลังเร่งปรับแผนการเรียนรู้หรือเส้นทางอาชีพของตนเพื่อใช้ประโยชน์จาก AI อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ส่วนใหญ่ (71%) ยังคงเป็นการ “เรียนรู้ด้วยตนเอง” ผ่านบทเรียนออนไลน์ โครงการเสริม หรือจากชุมชนออนไลน์ ขณะที่มีนักพัฒนาเพียง 28% เท่านั้น ที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการจากที่ทำงาน

ในขณะเดียวกัน การสนับสนุนเชิงนโยบายจากองค์กรยังคงตามไม่ทันการใช้งานจริง โดยมีองค์กรเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ที่มีการวางนโยบาย แนวปฏิบัติ หรือกรอบการทำงานด้าน AI ที่ชัดเจน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แรงงานมีความมุ่งมั่นและมีความรู้ด้าน AI มากกว่าที่องค์กรจะสามารถจัดระบบอบรมให้ความรู้ได้ทัน

อิแดน ซาลซ์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ อโกด้า สรุปว่า AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้ และทำงานร่วมกัน นักพัฒนาในภูมิภาคนี้ได้นำ AI มาใช้อย่างรอบคอบ โดยเน้นการ “เพิ่มประสิทธิภาพ” และ “ความรวดเร็ว” ไม่ใช่เพื่อใช้ “แทนที่” ทักษะหรือการตัดสินใจที่สำคัญ

ดังนั้น คุณซาลซ์เบิร์กจึงมองว่า ความท้าทายที่แท้จริงขององค์กรในขณะนี้ คือการสนับสนุนการเติบโตจากฐานรากนี้ ด้วยการวางแนวปฏิบัติที่เป็นระบบและส่งเสริมการทดลองอย่างรับผิดชอบ เพื่อเปลี่ยนการใช้งาน AI ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCBX AI Battle: ปลุกพลังคนในองค์กรขับเคลื่อน AI สู่พิมพ์เขียว AI-first Organization

ดีอี จับมือ Google แจก Google AI Pro ฟรี 1 ปี ให้นักศึกษา 18 ปีขึ้นไป

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน