Share on
×

Share

กางแผน ‘ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน’ พลิกฟื้น SME ไทยสู้ Polycrisis

กางแผน 'ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน' พลิกฟื้น SME ไทยสู้ Polycrisis

ในยุคที่โลกเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ หรือ “Polycrisis” ทั้งความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า กฎเกณฑ์สิ่งแวดล้อมใหม่ที่เพิ่มต้นทุน ไปจนถึงความตึงเครียดในภูมิภาค ผู้ประกอบการ SME ไทย ซึ่งเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ กำลังยืนอยู่บนเส้นทางที่เปราะบางอย่างยิ่ง แม้จะเป็นกลไกที่สร้างมูลค่า GDP ให้ประเทศกว่า 35% และสร้างการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน แต่ SME กว่า 3.2 ล้านราย ยังคงเผชิญความท้าทายหนักหน่วง โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน SME Thailand Future Day 2026 พลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ SME ไทยต้อง “Recode ความคิด, Reset ระบบธุรกิจ และ Regrow ด้วยกลยุทธ์ใหม่” พร้อมเปิดเผยนโยบายหลักของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของ รมว.ธนกรวังบุญคงชนะที่มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลง ด้วยยุทธศาสตร์ 4 คำ คือ “ฝ่า ฟัน ดึง ดัน”

ถอดรหัส 4 ภารกิจ “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” ปรับทัพ SME สู่ยุคใหม่

หัวใจสำคัญของนโยบายที่กระทรวงอุตสาหกรรมใช้เป็นธงนำ คือการมองปัญหาอย่างรอบด้าน ทั้งการแก้ปัญหาระยะสั้นและการวางรากฐานระยะยาว โดยแบ่งภารกิจออกเป็น 4 ส่วนอย่างชัดเจน

1. “ฝ่า” : ทะลวงวิกฤติระยะสั้น อัดฉีดสภาพคล่อง

สำหรับภารกิจแรก คือการ “ฝ่า” ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า โดยเฉพาะผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับโดยตรงจากความตึงเครียดของสงครามการค้าและมาตรการภาษีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวทีโลก

มาตรการสำคัญเร่งด่วนคือการเข้าไปเสริมสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อประคองให้ธุรกิจสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ โดยรัฐบาลจะดำเนินการเร่งรัดการบรรเทาหนี้สินเดิม ควบคู่ไปกับการอัดฉีดแหล่งเงินทุนใหม่ที่เป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผ่านโครงการที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ SME โดยเฉพาะ อาทิ โครงการดีพร้อม โอเค, โครงการ SME Green Productivity (ที่ร่วมมือกับ SME D Bank) และสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน High Season (เงินไว by DIPROM)

เป้าหมายหลักของมาตรการทางการเงินเหล่านี้ คือการทำให้ผู้ประกอบการ SME มีเงินทุนหมุนเวียนในมือเพียงพอสำหรับใช้ในการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ เช่น การจัดซื้อวัตถุดิบ การเพิ่มสต็อกสินค้าเพื่อไม่ให้เสียโอกาส หรือการขยายกำลังการผลิตชั่วคราว เพื่อให้พร้อมรองรับยอดขายในช่วง High Season ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดช่วงหนึ่งของปี

ขณะเดียวกัน ภารกิจ “ฝ่า” ไม่ได้หยุดเพียงแค่การอัดฉีดเงินทุน แต่ยังรวมถึงการ “ยกระดับมาตรฐาน” อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ภายใต้นโยบาย “Big Quick Big Win” ด้วย นี่คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะเร่งด่วน โดยจะมีการยกระดับระบบการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าให้เป็นแบบดิจิทัล (Digital Certificate of Origin) และผลักดันการรับรองมาตรฐานสากล

การดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อช่วยลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) และที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนอุตสาหกรรมไทยมานาน นั่นคือ ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าไทย และปรากฏการณ์อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ (Zero-Dollar Industry) ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างแท้จริง

2. “ฟัน” : จัดระเบียบอุตสาหกรรม ปราบของเถื่อน

ภารกิจที่สองคือการ “ฟัน” หรือจัดระเบียบอุตสาหกรรมอย่างเด็ดขาด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด

ปราบปรามจริงจัง: กวาดล้างโรงงานเถื่อน การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน สินค้าปลอม หรือเลียนแบบเครื่องหมายการค้า โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

เฝ้าระวังทั่วประเทศ: จัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังสินค้าด้อยคุณภาพ “มอก. Watch” ซึ่งบูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดและภาคเอกชน

นโยบาย “ปิดเร็ว เปิดเร็ว พึ่งพาได้”: ดำเนินการปิดกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างทันท่วงที และพร้อมเปิดให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วหากแก้ไขได้ถูกต้องครบถ้วน

3. “ดึง” : ดึงดูดการลงทุน ขับเคลื่อน BCG และพลังงานสะอาด

สำหรับภารกิจที่สาม คือการ “ดึง” ซึ่งเป็นการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนก้อนใหม่ (Foreign and Domestic Direct Investment) ให้ไหลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ โดยการลงทุนนี้จะมุ่งเป้าหมายพิเศษไปยังกลุ่ม อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future Industries) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยได้

กลไกสำคัญที่จะใช้ในการ “ดึง” การลงทุนครั้งนี้ คือการชูธงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)ควบคู่ไปกับการส่งเสริม พลังงานสะอาด (Clean Energy) อย่างจริงจัง

แนวทางดังกล่าวถูกเลือกใช้เพราะจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญ 3 ประการ ประการแรกคือการ ยกระดับกระบวนการผลิตของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ประการที่สองคือการตอบโจทย์พันธสัญญาโลกในการ ลดการปล่อยคาร์บอน และประการสุดท้าย ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ คือการช่วย ลดต้นทุนด้านพลังงาน ในระยะยาว สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม การจะดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นจริงได้ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ นั่นคือ การปรับแก้กฎระเบียบ ภารกิจนี้จึงรวมถึงการปฏิรูปกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อสร้าง สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน (Investment-Friendly Environment) อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการปรับปรุงกฎระเบียบเดิมที่เป็นอุปสรรค ลดขั้นตอนราชการที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น (Red Tape) และเร่งรัดผลักดันกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างรากฐานของความยั่งยืนและความมั่นคงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยในอนาคต

ปรับแก้กฎระเบียบ: สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และผลักดันกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความยั่งยืน

4. “ดัน” : ผลักดันอุตสาหกรรมอนาคตและทักษะแรงงาน

สำหรับภารกิจสุดท้าย คือการ “ดัน” ซึ่งเปรียบเสมือนการวางเสาหลักสองต้นไปพร้อมกัน นั่นคือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมอนาคต ควบคู่ไปกับการพัฒนาคน ให้มีทักษะสอดรับกัน

ในด้านหนึ่ง คือการผลักดัน อุตสาหกรรมเป้าหมาย (Target Industries) ที่ถูกกำหนดให้เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ของประเทศ โดยครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ ดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ เช่น อาหารแห่งอนาคต (Future Food) ชีวเศรษฐกิจ (Bio-economy) อุตสาหกรรมการแพทย์ สุขภาพ และการท่องเที่ยว

ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งถือเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ ภารกิจ “ดัน” นี้ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยแบ่งเป็นการดำเนินการสองส่วนหลัก

การ Upskill (ยกระดับทักษะเดิม): มุ่งเน้นไปที่ แรงงานเดิม ในระบบ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการยกระดับทักษะให้ก้าวทันเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตยุคใหม่ เช่น ความสามารถในการทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ (Automation) หรือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปฏิบัติงาน

การ Reskill (พัฒนาทักษะใหม่): มุ่งเป้าไปที่ แรงงานที่ได้รับผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจเดิม โดยการพัฒนาทักษะใหม่ที่จำเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานกลุ่มนี้สามารถ “เปลี่ยนผ่าน” (Transition) เข้าไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมอนาคตที่กำลังเติบโตได้

ทั้งนี้ การพัฒนาทักษะแรงงานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษาที่จะต้องปรับหลักสูตรให้ทันสมัย และภาคเอกชนในฐานะผู้จ้างงาน เพื่อให้การผลิตบุคลากรตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานโลกอย่างแท้จริง

จาก “แค่รอด” สู่ “การเติบโต”: หัวใจ SME ยุคใหม่ต้องแกร่งกว่าวิกฤติ

พลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
พลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

คุณพลอยลภัสร์ ย้ำว่า ในโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data), AI และความเร็ว SME ไทยจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Clustering) และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งแวดล้อม แต่รวมถึงการเป็นองค์กรที่ “ลูกค้ายอมรับ โลกยอมรับ องค์กรมีความสุข”

ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ชี้ว่ามีตัวอย่างความสำเร็จมากมายที่ SME ไทยพลิกโอกาสจากสินค้าเฉพาะถิ่นไปสู่การส่งออก สร้างยอดขายหลายสิบล้าน ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและพลังการปรับตัว

“กระทรวงอุตสาหกรรมตระหนักดีว่า การช่วยให้ SME รอดอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องทำให้ SME ไทยพร้อมที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว” พลอยลภัสร์ สิงห์โตทอง กล่าว พร้อมยืนยันว่ากระทรวงฯ จะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” และผู้สนับสนุนให้ SME ก้าวข้ามวิกฤติ

เธอย้ำปิดท้ายว่า แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ “หัวใจของผู้ประกอบการไทย” หัวใจที่ไม่ยอมแพ้และกล้าลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่ ซึ่ง “ความกล้าเริ่มต้นใหม่ คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ที่จะทำให้ SME ไทยยืนหยัดและก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

CMO เต่าบิน ‘อนุภัทร พิสิฐโภคิน’ ชี้ Data คืออาวุธปั้นกลยุทธ์ Hyper-Localization

เกมใหม่ของยักษ์ใหญ่ SCBX เมื่อ BankX คือคำตอบของสมรภูมิ Virtual Bank

×

Share

ผู้เขียน