Share on
×

Share

หมูกระทะ ‘ตั๊กบ้านโตน’ ไวรัลด้วยใจ การตลาด 0 บาท

หมูกระทะ 'ตั๊กบ้านโตน' ไวรัลด้วยใจการตลาด 0 บาท

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินโฆษณาและการวิเคราะห์ข้อมูล แต่เรื่องราวของ “ตั๊กบ้านโตน” ร้านหมูกระทะในจังหวัดอุทัยธานี กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า พลังของความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ และความใส่ใจในประสบการณ์ของลูกค้า สามารถสร้างปรากฏการณ์ระดับประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณการตลาดแม้แต่บาทเดียว

นี่คือบทสรุปแนวคิดที่แหลมคมจาก ณัฐกิตต์ พุทธยากูล ผู้ก่อตั้ง โตนคาเฟ่ และร้านหมูกระทะ “ตั๊กบ้านโตน” ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ในงาน SME Thailand Future Day 2026 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจท้องถิ่น (Local Business) ก็สามารถทลายกำแพงและดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศได้

กลยุทธ์การตลาด 0 บาท: เมื่อ “การถ่ายรูป” คือ “การยิงแอด”

หัวใจสำคัญที่ทำให้ “ตั๊กบ้านโตน” แตกต่าง คือการยืนกรานที่จะไม่ใช้เงินกับการตลาดแบบดั้งเดิม คุณณัฐกิตต์ยืนยันว่า ตลอด 7 เดือนที่เปิดร้านมา เขาไม่เคยเสียค่ายิงแอด ไม่ว่าจะเป็น SEO, SEM หรือ Google Ads แต่เขาเลือกใช้กลยุทธ์ที่ทรงพลังกว่า นั่นคือการบังคับให้ลูกค้าต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปด้วยความเต็มใจ

คุณณัฐกิตต์ อธิบายว่า “ทำยังไงก็ได้ ให้ลูกค้าถ่ายรูปโปรดักของเขาขึ้นมา” เพราะเขาเชื่อว่า การที่ลูกค้าถ่ายรูปและแชร์ลงสื่อโซเชียล คือการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มันเปรียบเสมือนการ “ยิงแอด” ไปยังกลุ่มเพื่อนของลูกค้า ซึ่งตรงเป้าหมายและน่าเชื่อถือกว่าการทุ่มเงินโฆษณา

เมื่อลูกค้าประทับใจและโพสต์ลงสื่อส่วนตัว ทางร้านก็จะนำโพสต์เหล่านั้นมาแชร์บอกต่อ เพื่อขยายการรับรู้และตอกย้ำประสบการณ์จริงที่ลูกค้าได้รับ กลยุทธ์นี้ได้ผลเกินคาด จากจุดเริ่มต้นที่ลูกค้าในพื้นที่มาทานและโพสต์ลง Facebook จนเกิดเป็นกระแสไวรัลใน TikTok ส่งผลให้มีคนมายืนรอหน้าร้านยาวถึง 40 คิว

วิศวกรรมแห่งประสบการณ์: เบื้องหลังภาพถ่ายที่ต้องแชร์

ณัฐกิตต์ พุทธยากูล ผู้ก่อตั้ง โตนคาเฟ่ และร้านหมูกระทะ "ตั๊กบ้านโตน"
(ซ้าย) – ณัฐกิตต์ พุทธยากูล ผู้ก่อตั้ง โตนคาเฟ่ และร้านหมูกระทะ “ตั๊กบ้านโตน”

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการออกแบบประสบการณ์ (Customer Journey) ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดเล็กน้อย (Gimmick) เพื่อสร้างโมเมนต์ที่ลูกค้ารู้สึกว่าต้องบันทึกไว้

คุณณัฐกิตต์ กล่าวว่า เขาใส่ใจในรายละเอียดที่คนอื่นอาจมองข้าม เช่น การเสิร์ฟเครื่องดื่มสมุนไพร “กั๊ก” ใน “แก้วแชมเปญ” ไม่ใช่เพราะต้องการความหรูหรา แต่เขารู้พฤติกรรมผู้บริโภคว่า “เค้าต้องหยิบอันนี้ของเรามาเล่น มาชนแก้วกันถ่ายรูป”

แม้กระทั่ง “ชามหมู” ก็ยังถูกออกแบบลวดลายโลโก้ไว้ “ข้างใน” ไม่ใช่แค่ด้านนอก เพื่อที่ว่าเมื่อลูกค้าถ่ายรูปอาหาร ก็จะเห็นโลโก้ร้านติดไปด้วยโดยอัตโนมัติ

ความใส่ใจนี้ยังรวมถึงการบริการที่ลึกซึ้ง หากลูกค้ามาฉลองวันครบรอบ ร้านจะจัดโต๊ะและดอกไม้ต้อนรับ หรือในทางกลับกัน หากลูกค้าอกหักมา ร้านก็จะนำ “น้องหมี” มาตั้งเป็นเพื่อนคลายเหงา เพื่อสื่อว่าร้านเปรียบเสมือนเพื่อนที่คอยซัพพอร์ต รายละเอียดเหล่านี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและกระตุ้นให้เกิดการแชร์อย่างเป็นธรรมชาติ

แก่นแท้ของผลิตภัณฑ์: สูตรลับที่จับคู่มาโดยเฉพาะ

การตลาดที่แยบยลจะไร้ผลหากตัวผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ คุณณัฐกิตต์ทำการบ้านอย่างหนักเพื่อหาความแตกต่าง จุดเริ่มต้นมาจากสูตรหมูกระทะที่เขาได้รับมาจากรุ่นพี่ท่านหนึ่งชื่อ “พี่ตั๊ก” ซึ่งเป็นเจ้าของสวนที่จังหวัดชัยนาท และนี่คือที่มาของชื่อร้าน “ตั๊กบ้านโตน” (ตั๊ก + บ้านโตน คือบ้านของคุณณัฐกิตต์)

ความพิเศษของสูตรนี้คือ “เอกลักษณ์ของรสชาติ” ที่แตกต่างจากตลาดโดยปกติ หลายคนมองว่า หัวใจของหมูกระทะคือน้ำจิ้มรสแซ่บจัดจ้าน แต่สำหรับสูตรของพี่ตั๊ก องค์ประกอบทุกอย่างถูกออกแบบมาให้ต้องทานคู่กันเท่านั้น

คุณณัฐกิตต์พบว่า “เอาน้ำจิ้มตัวนี้ไปทานกับหมูตัวอื่นก็ไม่อร่อย” และในทางกลับกัน “เอาหมูสูตรของพี่ตั๊กเนี้ยครับ ไปกินกับน้ำจิ้มสูตรอื่นก็ไม่อร่อย”

จุดขายสำคัญคือ “กากหมูเจียว” และกระเทียมเจียว ซึ่งสูตรดั้งเดิมของพี่ตั๊กที่ชัยนาทจะเป็นเพียงการโรยไว้ในหม้อ แต่คุณณัฐกิตต์นำมาต่อยอดโดยการ “ราด” กากหมูและกระเทียมเจียวลงไป เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัส “กลิ่นหอม” ที่เตะจมูกก่อนทาน

นอกจากนี้ ร้านยังได้ออกแบบวิธีการทาน ที่เรียกว่า “คำขึ้นสวรรค์” ซึ่งเกิดจากการทดลองแล้วพบว่า การทานหมูย่างกับคะน้า ราดด้วยน้ำจิ้ม แล้วบีบมะนาวตาม รสชาติของมะนาวจะช่วยตัดเลี่ยนและทำให้รสชาติโดยรวม “อร่อยขึ้น”

ปฏิสัมพันธ์สู่ชุมชน: เปลี่ยนลูกค้าให้เป็นส่วนหนึ่งของร้าน

“ตั๊กบ้านโตน” ไม่ได้หยุดแค่การแชร์โพสต์ของลูกค้า แต่ทีมงานยังสร้างคอนเทนต์เชิงรุกจากการเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าที่มารอคิว คุณณัฐกิตต์จะเข้าไปสอบถาม พูดคุยว่ามาจากไหน รอนานหรือยัง ทำให้เขาได้เรื่องราวจริง เช่น ลูกค้าที่อุ้มท้องใกล้คลอดแต่ยืนยันว่า “ฉันต้องได้กิน” หรือลูกค้าที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดไกล ๆ เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำมาสร้างเป็นคอนเทนต์ต่อ

สิ่งนี้ทำให้เกิด “ความสัมพันธ์” ที่แน่นแฟ้น เพจของร้านจึงไม่ได้มีไว้ขายของ แต่กลายเป็น “ชุมชน” (Community) ที่ลูกค้าเข้ามาพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จนเกิดเป็นกระแสที่ลูกค้ามาแข่งกันว่าใครเดินทางมาไกลกว่า เช่น ลูกค้าที่นั่งเครื่องบินมาจากภาคใต้เสียค่าตั๋ว 4,000-5,000 บาท เพื่อมาทานหมูกระทะ หรือแม้กระทั่งลูกค้าจากต่างประเทศ

หัวใจแห่งการบริการ: การจัดการความเจ็บปวดของการรอคอย

ความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย เมื่อร้านกลายเป็นไวรัล คิวยาวเหยียด (ปัจจุบันคิววันเสาร์-อาทิตย์เต็มไปจนถึงเดือนเมษายนปีหน้า) คุณณัฐกิตต์จึงต้องบริหารจัดการ “Pain Point” หรือความเจ็บปวดของการรอคอย

ทางร้านได้จัดเตรียมไอศกรีมและน้ำแข็งใสไว้บริการฟรีสำหรับลูกค้าระหว่างรอ เพื่อลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เพื่อนใหม่จากการพูดคุยกันระหว่างรอ

ในขณะเดียวกัน ก็มีการพัฒนาระบบหลังบ้าน (Operation) อย่างต่อเนื่อง จากช่วงแรกที่เปิดร้านด้วยพนักงาน 9 คน กับ 17 โต๊ะ ซึ่งมีความวุ่นวายมาก คุณต้นใช้วิธีเรียนรู้และแก้ปัญหาหน้างาน จนปัจจุบันเพิ่มพนักงานเป็น 17 คน และนำระบบเข้ามาช่วยในการสั่งอาหาร เขากำหนดเวลามาตรฐาน (KPIs) ไว้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าสั่งแล้วต้องได้รับของภายในกี่นาที หรือลูกค้ารถลุกแล้วต้องเก็บโต๊ะภายในกี่นาที เพื่อให้งานลื่นไหลและลูกค้าไม่ต้องรอนานเกินไป

ที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมคุณภาพ คุณณัฐกิตต์ย้ำว่าเขาเป็นคนพิถีพิถัน ก่อนเปิดร้านทุกวัน เขาต้องชิมน้ำซุปและน้ำจิ้มทุกตัว แม้กระทั่งการหั่นผักก็ต้องตรวจสอบว่าช้ำหรือไม่ และหากวันไหนวัตถุดิบ เช่น กากหมูเจียว ไม่ได้มาตรฐาน เขาก็จะตัดสินใจไม่เสิร์ฟในวันนั้น

3 กุญแจสำคัญและก้าวต่อไป

คุณณัฐกิตต์ สรุป 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ “ตั๊กบ้านโตน” ประสบความสำเร็จไว้ดังนี้

  1. ความจริงใจ (Sincerity) คือการจริงใจต่อโปรดักต์ของตัวเอง รู้จักสิ่งที่ขายอย่างลึกซึ้ง เมื่อมั่นใจ ก็จะกล้าสื่อสารออกไปเต็มปาก
  2. ความสัมพันธ์ (Relationship) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า รับฟังประสบการณ์ของเขา และนำมาเล่าเรื่องต่อ ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของร้าน
  3. ความได้เปรียบของท้องถิ่น (Local Advantage) การดึงจุดเด่นและศักยภาพของพื้นที่ (อุทัยธานี ซึ่งเป็นเมืองรอง) มาใช้เป็นจุดขาย

จากร้านหมูกระทะที่เปิดมาเพียง 7 เดือน “ตั๊กบ้านโตน” ได้กลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ดึงดูดคนจากทั่วสารทิศให้เดินทางมายังอุทัยธานี และในปีหน้า คุณณัฐกิตต์ก็มีแผนที่จะพาร้านขยายสาขาเข้ามาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองแต่ยังไม่กล้า คุณณัฐกิตต์ทิ้งท้ายว่า “อย่างแรก เราต้องรู้จักโปรดักของเราให้ดีพอก่อน” และเมื่อมั่นใจในจุดขายที่ชัดเจนแล้ว ก็ขอให้ “กล้าที่จะทำ” เพราะถ้ามัวแต่รอ โอกาสก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

CMO เต่าบิน ‘อนุภัทร พิสิฐโภคิน’ ชี้ Data คืออาวุธปั้นกลยุทธ์ Hyper-Localization

ส่องทิศทาง 3 เหรียญไทย ‘JFIN-KUB-SIX’ มุ่งสู่ RWA และ Green Tokenization

×

Share

ผู้เขียน