สถานการณ์สุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะในสังคมเมือง กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักหน่วง เมื่อตัวเลขทางสถิติฉายภาพอันน่ากังวลของภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ทวีความรุนแรง โดยมีประเด็นสำคัญคือวิกฤติโรคอ้วนในเด็ก ซึ่งข้อมูลล่าสุดชี้ชัดว่าเด็กไทยมีภาวะอ้วนเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับ 5 ในเอเชีย ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติที่น่าตกใจ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤติสุขภาพในระยะยาวที่กำลังกัดกินสังคมเมือง
ตอกย้ำวิกฤติด้วยตัวเลขที่มากกว่าสถิติ
ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์นายแพทย์เพชร โรจนอารี นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อแห่งประเทศไทย อ้างอิงรายงานของ UNICEF ที่ระบุว่าเด็กไทยมีภาวะอ้วนสูงถึง 14% สอดรับอย่างน่ากังวลกับข้อมูลเชิงลึกของกรุงเทพมหานคร ที่ แพทย์หญิงเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากการตรวจสุขภาพเด็กกว่า 200,000 คน พบเด็กมีภาวะน้ำหนักเกิน (Overweight) 9.7% และภาวะอ้วน (Obese) 9.68% ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นเกือบ 20% หรือ 1 ใน 5 ของเด็กที่ถูกตรวจ
ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มเด็กเท่านั้น พญ.เลิศลักษณ์ ยังเปิดเผยข้อมูลจากโครงการตรวจสุขภาพล้านคนของ กทม. (ตรวจจริง 870,000 คน) ที่พบว่า 5 อันดับแรกของภาวะเสี่ยงในผู้ใหญ่ชาวกรุง คือ ภาวะน้ำหนักเกินสูงถึง 59.8% คอเลสเตอรอลสูง 58.76% และความดันโลหิตสูง 34%
ด้าน นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันแนวโน้มระดับประเทศที่แย่ลง โดยระบุว่าข้อมูลการสำรวจ National Health Examination Survey (NHES) ครั้งที่ 6 เมื่อ 5 ปีก่อน พบคนไทยอ้วน 42.2% แต่ตัวเลขใหม่กลับเพิ่มขึ้นอีกราว 15% โดยมีสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในเขตเมืองอย่างกรุงเทพฯ
เจาะลึกรากเหง้าปัญหา: จากไลฟ์สไตล์สู่โครงสร้างสังคม
ผู้เชี่ยวชาญต่างชี้ตรงกันว่า วิกฤตินี้มีรากฐานมาจากหลายปัจจัยผสมผสานกัน รศ.นพ.เพชร ชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตพื้นฐาน คนไทยทานผักน้อยลงและมีกิจกรรมทางกายน้อยลงอย่างชัดเจน ขณะที่สภาพแวดล้อมในเมืองยิ่งซ้ำเติมปัญหา พญ.เลิศลักษณ์ ยกตัวอย่างร้านอาหารที่เปิดให้บริการถึงตี 3 ตี 5 ซึ่งดึงดูดวัยรุ่นให้บริโภคแล้วกลับไปนอน
นพ.กฤษฎา เสริมว่า สังคมไทยมีความสุขกับการกินอาหารในยามดึก และมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการกิน แต่ไม่ได้เอื้อต่อการมีโภชนาการที่ดี ประกอบกับทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่ยังมองว่าความอ้วนเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ รศ.นพ.เพชร ยังแสดงความกังวลต่อเทรนด์การทำงานยุคใหม่แบบ 996 (ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์) เพื่อแข่งขันกับ AI ซึ่งยิ่งทำให้สมดุลชีวิตและสุขภาพถูกละเลย
แนวทางรับมือ: กทม. ชู “Wellness Clinic” และ “สวน 15 นาที”
ในฐานะเจ้าภาพหลักของเมือง พญ.เลิศลักษณ์ กล่าวว่า กทม. กำลังเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการตรวจสุขภาพเชิงรุกเป็นครั้งคราว มาเป็นการบริการประจำ โดยเปิด Wellness Clinic ในทุกโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานฟรี
หัวใจสำคัญคือการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ กทม. กำลังเร่งผลักดันนโยบาย “สวน 15 นาที” โดยมีเป้าหมาย 500 แห่งภายในปี 2569 (ปัจจุบันเกือบ 400 แห่ง) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงพื้นที่สีเขียวและการออกกำลังกายได้ใกล้บ้าน ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมวิ่งล้อมเมือง และการเตรียมเปิดสนามปิกเกอร์บอลในสวนสาธารณะหลัก นอกจากนี้ ยังมีโครงการนำร่องใน 7 โรงเรียนเขตสาทรและบางรัก เพื่อสร้างหลักสูตรสุขภาพใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีอย่างแอปพลิเคชัน Health Data และ Smart Watch ติดตามสุขภาพนักเรียนและครู
ยกระดับการป้องกัน: แก้ที่ “Ecosystem” และสร้าง “Health Literacy”
ในภาพใหญ่ นพ.กฤษฎา เน้นย้ำว่ากระทรวงสาธารณสุขต้องเปลี่ยนจากการ “ตั้งรับ” เพื่อรักษาโรค ไปสู่การ “ป้องกัน” อย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการจัดการระบบนิเวศทั้งหมดของเมือง ไม่ใช่เพียงระบบสาธารณสุข
กุญแจสำคัญคือการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) รศ.นพ.เพชร ขยายความว่า ความรอบรู้ที่แท้จริงต้องพิสูจน์ได้ว่า เด็กสามารถกลับไปสื่อสารหรือโน้มน้าวพ่อแม่ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ ท่านยังเสนอแนวคิดการดึงภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือรสชาติอาหารอร่อยจากฝีมือแม่ที่บ้าน มาผสมผสานกัหลักโภชนาการที่ถูกต้องจากครู เพื่อสร้างอาหารที่ดีต่อสุขภาพและถูกปาก
บทสรุปเพื่อความยั่งยืน: จาก “ความร่วมมือ” สู่ “การกินให้เกลี้ยง”
นพ.กฤษฎา ย้ำว่า ความร่วมมือคือสิ่งสำคัญที่สุด ต้องทลายกำแพงการทำงานและดึงภาคส่วนอื่นนอกเหนือจากสาธารณสุข เช่น ภาคการศึกษา วิศวกรรม และเกษตร เข้ามาร่วมออกแบบเมือง โดยให้เริ่มต้นที่เด็ก หากทำสำเร็จในโรงเรียน กทม. ก็สามารถใช้เป็นโมเดล “คัดลอกและวาง” (Copy Paste) เพื่อขยายผลต่อไปได้
พญ.เลิศลักษณ์ เห็นพ้องว่าต้องอาศัยความร่วมมือและภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ต้องเป็นแบบอย่าง รวมถึงการมี มาตรการที่ช่วยให้คนกรุงเทพฯ ฉลาดในการเลือกกินและดูแลสุขภาพ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า
สุดท้าย รศ.นพ.เพชร ทิ้งท้ายด้วยแนวคิด Healthy Sustainable Diet หรืออาหารที่ดีต่อโลกและดีต่อสุขภาพ ควบคู่กับคำแนะนำที่ทำได้จริง คือ จัดให้เป็น กินให้เกลี้ยง ซึ่งหมายถึงการวางแผนกะปริมาณอาหารให้พอดีต่อสุขภาพ และรับประทานให้หมด ไม่เหลือทิ้ง ซึ่งไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาโรคอ้วน แต่ยังช่วยลดปัญหาขยะอาหารและโลกร้อนไปพร้อมกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กินคลีนแทบตาย… ถ้า ‘นอน’ ไม่พอก็จบ! สรุปเวทีสุขภาพ Bitkub Summit 2025
พาทัวร์ Hatch Dome: อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา




