ในปีที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอกและภายใน นายอธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ผู้ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ได้เปิดเผยข้อมูลในการแถลงข่าวเกี่ยวกับผลประกอบการปี 2568 พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
“ปีนี้เป็นปีที่เหนื่อยมาก ๆ สำหรับธุรกิจสินเชื่อไร้หลักประกัน เนื่องจากตลาดมีความอ่อนไหวต่อข่าวสาร อีกทั้งปัจจัยด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้การคาดการณ์ทำได้ยาก ต้องลุ้นเดือนต่อเดือนเพื่อปรับตัวให้ทันสถานการณ์” คุณอธิศเริ่มต้นการแถลงข่าวด้วยการชี้ให้เห็นภาพรวมของธุรกิจบัตรเครดิต
“แนวโน้มธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลยังคงเติบโตช้าจากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง ภาระหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูง รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงไม่ฟื้นตัว”
พฤติกรรมลูกค้า ‘ไม่คุ้ม ไม่จ่าย’
หนึ่งในประเด็นหลักที่คุณอธิศเน้นคือ พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคในปี 2568 ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายเฉพาะเมื่อเห็นว่าคุ้มค่าเท่านั้น หากไม่คุ้มก็จะชะลอหรืองดการใช้จ่าย เพื่อลดภาระทางการเงิน
“ยกตัวอย่างกรณีการเปิดตัว iPhone 17 ซึ่งกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้จัดโปรโมชั่นแรงมาก แต่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรไม่เป็นไปตามเป้า เพราะผู้บริโภคยังไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนมือถือ แม้จะมีโปรโมชั่นดึงดูดก็ตาม”
หมวดใช้จ่ายและเติบโตสูงสุดสะท้อนไลฟ์สไตล์ประหยัด
จากข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตร หมวดที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. ประกันภัย 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและสะดวกซื้อ 3. ปั๊มน้ำมัน 4. ของตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน 5. ช้อปปิ้งออนไลน์ โดยหมวด 2 และ 3 เป็นการใช้จ่ายประจำวัน ซึ่งบ่งชี้ว่าบัตรของกรุงศรีฯ ถูกใช้เป็นบัตรหลักในกระเป๋าเงินของผู้บริโภคจำนวนมาก
ส่วนหมวดใช้จ่ายที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1. โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน, 2. แอปดิลิเวอรี 3.กองทุนรวม, 4. ตัวแทนท่องเที่ยว และ 5. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ
“การที่หมวดซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อพุ่งขึ้นมาติด 5 อันดับเติบโตสูงสุด จากที่ไม่ติดอันดับในครึ่งปีแรก ร่วมกับแอปดิลิเวอรีที่ยังเติบโตสูง แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น เปลี่ยนจากการทานข้าวนอกบ้าน มาเลือกซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเองหรือสั่งเดลิเวอรีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายแทน
ยอดปิดบัตรพุ่งสูงกว่ายอดเปิดใหม่
อีกประเด็นสำคัญคือ ยอดเปิดบัตรเครดิตใหม่มีจำนวนน้อยกว่ายอดขอปิดบัตร ซึ่งเกิดขึ้นในทุกกลุ่มบัตรและทุกธนาคาร โดยตลาดรวมจำนวนบัญชีบัตรเครดิตหดตัวลงจากปีก่อน ซึ่งคุณอธิศอธิบายว่า สาเหตุไม่ได้มาจากความเข้มงวดในการอนุมัติบัตรของธนาคาร แต่มาจากความต้องการของผู้บริโภคเองที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย ไม่อยากเป็นหนี้หรือมีภาระผูกพัน ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
“จากข้อมูลที่ได้รับจากพนักงานบริการลูกค้า ลูกค้าที่โทรมาขอปิดบัตรส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าต้องการลดจำนวนบัตรลง ไม่ต้องการถือหลายใบเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วตลาด ทำให้คนออกจากระบบมากกว่าคนเข้าใหม่”
ผลประกอบการปี 2568 ติดลบเกือบทุกตัว
ข้อมูลผลประกอบการของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 แสดงให้เห็นภาพรวมที่ท้าทาย โดยตัวชี้วัดหลักส่วนใหญ่ติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ยกเว้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ยังคงเติบโตเล็กน้อย โดยยอดบัญชีลูกค้าใหม่อยู่ที่ประมาณ 422,800 บัญชี ลดลง 4.7% จากปีที่แล้ว ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอยู่ที่ประมาณ 286,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% ยอดสินเชื่อส่วนบุคคลใหม่อยู่ที่ 68,400 ล้านบาท ติดลบ 2.2% และยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ประมาณ 134,000 ล้านบาท ติดลบ 2.6%
อย่างไรก็ตาม คุณภาพหนี้หรืออัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังคงอยู่ในระดับที่ดี โดย NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.3% คงที่จากปีที่แล้ว ส่วน NPL สินเชื่อส่วนบุคคลลดลงจาก 2.5% เป็น 2.2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ 2.1% สำหรับบัตรเครดิตและ 3.5% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล สะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมของบริษัทฯ
คุณอธิศ ระบุว่า แม้ผลประกอบการจะติดลบ แต่กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่ง เช่น ครองจำนวนบัตรเครดิต 24% (6.4 ล้านบัตร) เป็นอันดับ 1 ของประเทศ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 18% ติดอันดับต้น ๆ ของตลาด และมีจำนวนบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคล 18% (3.7 ล้านบัญชี) ในขณะที่ตลาดโดยรวมหดตัว
กลยุทธ์ ‘Refocus’ พลิกสถานการณ์สำเร็จ
สำหรับกลยุทธ์ของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในปี 2568 ที่เปลี่ยนแปลงและประสบความสำเร็จ คุณอธิศระบุว่า บริษัทฯ หันกลับมาโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์หลักซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่มากเกินไปจนละเลยฐานลูกค้าหลัก โดยมีการรีแบรนด์และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของ 4 บริษัทหลัก ได้แก่
- บัตรเฟิร์สช้อยส์ มีการเปลี่ยนชื่อที่เทคนิคเกินไปอย่าง “สินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ” เป็น “บัตรกดเงินสดที่เอาไปผ่อนได้” เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผลลัพธ์คือมีอัตราการสมัครเพิ่มขึ้น 83% และจำนวนบัญชีใหม่เพิ่ม 51%
- บัตรเซ็นทรัล เดอะวัน ใหม่ เปิดตัวคอนเซ็ปต์ “T1 Dynamic Point” ที่มีการปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์และคะแนนสะสม การเปิดตัวครั้งแรกมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มเกือบ 100% และครั้งที่ 2 เพิ่มเกือบ 2,000%
- บัตรโลตัส เปลี่ยนจากการให้คะแนนเป็นเหรียญดิจิทัล
- บัตรเครดิต กรุงศรี มีการปรับโฉมและยกระดับสิทธิประโยชน์ของบัตรเรือธง ได้แก่ กรุงศรี แพลตตินัม และ กรุงศรี ซิกเนเจอร์ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ การตอบรับสิทธิประโยชน์ใหม่ดีมาก โดยมียอดการออกบัตรแพลตตินัมใหม่เพิ่ม 92% ส่วนซิกเนเจอร์เพิ่ม 180%
จากการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสภาวะตลาดดังกล่าว กรุงศรี คอนซูมเมอร์คาดว่าจะทยอยเห็นผลลัพธ์เชิงบวกอย่างต่อเนื่องและประเมินว่า ภายในปี 2568 จะมียอดบัญชีลูกค้าใหม่เกือบ 578,000 บัญชี (-2.7%) เมื่อเทียบกับปีก่อน ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 400,000 ล้านบาท (+2%) ยอดสินเชื่อใหม่ 94,000 ล้านบาท (-1.3%) และยอดสินเชื่อคงค้าง 143,000 ล้านบาท (-2.2%)
คาดปี 2569 โต 3-5%
คุณอธิศ มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากรัฐบาลในช่วงปลายปี เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และ เที่ยวดีมีคืน จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและกระตุ้นกำลังซื้อในระบบ ซึ่งจะเป็นผลดีทางอ้อมต่อธุรกิจบัตรเครดิต
สำหรับความคาดหวังในปี 2569 เขามองว่าการเติบโตของธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลคงเติบโตได้ไม่มากในระยะสั้น
“เราคิดว่าปี 2569 คงยังต้องเผชิญความท้าทายอยู่มาก หากจะเติบโต คงบวกไม่มาก ประมาณ 3-5%” คุณอธิศ กล่าวสรุปถึงเป้าหมายการเติบโตแบบระมัดระวัง โดยเน้นการสร้างความเติบโตอย่างมีคุณภาพและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดไว้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
YouTube จับมือ Lazada เปิดช่องทางสร้างรายได้ใหม่ให้ครีเอเตอร์ไทย ผ่านโปรแกรม Affiliate
ทรู คอร์ปอเรชั่น จ่ายเงินปันผล 6.6 พันล้านบาท หลังทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน




