Share on
×

Share

Recode DNA: ทายาท ‘น่ำเอี๊ยง’ และ ‘บุญเจริญการทอ’ พลิกวิกฤติธุรกิจมรดก

Recode DNA: ทายาท 'น่ำเอี๊ยง' และ 'บุญเจริญการทอ' พลิกวิกฤติธุรกิจมรดก

ในยุคที่คลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงถาโถมเข้าใส่ทุกอุตสาหกรรมธุรกิจครอบครัว (Family Business) ที่เป็นตำนาน กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน (Sunset Industry) ที่กำลังต่อสู้กับสงครามราคา หรือธุรกิจดั้งเดิม (Legacy Business) ที่กำลังถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว

บทความนี้จะนำเสนอวิสัยทัศน์ของสองทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์บนเวที SME Thailand Future Day 2026 ในหัวข้อ “Recode DNA สูตรอัปเกรดธุรกิจครอบครัวให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง” พวกเขาเลือกที่จะ “ปฏิวัติ” ธุรกิจของครอบครัวด้วยตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพื่อสร้าง S-Curve ใหม่ ก่อนที่จะถูกโลกภายนอกเข้ามา Disrupt

นิรันดร์“: จากวิกฤติโรงงานทอผ้าสู่พวงหรีดรักษ์โลก

อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บุญเจริญการทอ จำกัด
อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บุญเจริญการทอ จำกัด

กรณีศึกษาแรก คือธุรกิจโรงงานทอผ้าของ อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บุญเจริญการทอ จำกัด ธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวคือโรงงานทอผ้าดิบ รวมถึงงานโค้ทติ้งและฟินิชชิ่ง คุณอรนภัสระบุว่าธุรกิจนี้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม “sunset” อย่างชัดเจน ความท้าทายหลักมาจากการแข่งขันด้านราคา หรือ Price War โดยตรงกับประเทศอย่างจีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งมีต้นทุนค่าแรงที่ต่ำกว่ามาก ทำให้การแข่งขันในตลาดเดิมเป็นไปได้ยากลำบาก

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 คุณอรนภัสสังเกตเห็นภาพเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องห่อร่างผู้เสียชีวิตด้วยพลาสติกหรือถุงหลายชั้น เนื่องจากความไม่แน่นอนในการแพร่เชื้อในเวลานั้น เธอตระหนักว่าผ้าดิบที่โรงงานของเธอผลิตสามารถใช้ในการนี้ได้ จึงเริ่มต้นจากการเปิดเพจเพื่อเป็น “สะพานบุญ” รับบริจาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่อยากทำบุญแต่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ จากการได้พูดคุยกับหน่วยกู้ภัยในหลายจังหวัด เธอพบข้อมูลเชิงลึกว่า ผ้าสำหรับห่อศพเป็นสิ่งที่ขาดแคลนมาก โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร และมักจะหมดเร็วกว่าโลงศพ เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่แค่จากโควิด-19

จากข้อมูลดังกล่าวจึงพัฒนามาสู่ธุรกิจใหม่ในชื่อ “นิรันดร์” (Niran นิรันดร์ พวงหรีดรักษ์โลก) ซึ่งเป็นธุรกิจพวงหรีดทางเลือกที่ทำมาจากผ้าดิบ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะการพับกระดาษ Origami และไพ่ทาโรต์ แนวคิดหลักคือการไว้อาลัยแบบไม่ทิ้งสิ่งใดไว้เป็นภาระ (ไม่ทิ้งอะไร) เพราะหลังจากเสร็จสิ้นงานศพ พวงหรีดผ้าเหล่านี้จะถูกนำไปบริจาคต่อเพื่อใช้เป็นผ้าห่อศพ นอกจากนี้ ธุรกิจยังมีการบริจาคทุนนักเรียนให้กับเด็กยากจนและเด็กยากจนพิเศษด้วย โมเดลธุรกิจนี้ยังเน้นความยั่งยืน โดยผ้าที่ใช้ 50% มาจากเส้นใยรีไซเคิล และกระบวนการทอในโรงงานยังใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ ทั้งยังมีการร่วมมือกับสมาคมคนพิการเพื่อสร้างรายได้ให้กับคนพิการและคนตาบอดในกระบวนการผลิตด้วย

ในแง่ของการนำเสนอแนวคิดนี้กับครอบครัว คุณอรนภัสใช้วิธีการนำเสนอแผนงานอย่างเป็นทางการ (Pitch) เธอจัดทำข้อมูลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) และการวิจัยตลาด (Research) ไปนำเสนอ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกประหลาดใจที่ธุรกิจโรงงานทอผ้าจะขยายไปสู่ธุรกิจพวงหรีด แต่ท่านก็เปิดรับฟัง เธอใช้กลยุทธ์เริ่มต้นจากการลงทุนที่น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยง หากไม่สำเร็จก็ “เจ๊งน้อยที่สุด” และไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของโรงงาน แม้เธอจะไม่ได้จบด้านดีไซน์ แต่จบด้านการโรงแรมและบริหารธุรกิจ และมีประสบการณ์การทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ (Management Consultant) ที่ PricewaterhouseCoopers (PwC) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของทักษะการวิเคราะห์ที่นำมาปรับใช้

ปัจจุบัน ธุรกิจนิรันดร์อยู่ในช่วงเติบโต (Growth Stage) เปิดดำเนินการมาประมาณ 2 ปี มีสาขาทั่วประเทศ 25 สาขา โดยใช้รูปแบบแฟรนไชส์ โดยเลือกตัวแทนที่เป็นคนมีธุรกิจท้องถิ่นอยู่แล้วเพื่อให้ง่ายต่อการทำตลาด การจัดการโลจิสติกส์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะดำเนินการเอง (In-house) โดยคิดค่าส่งแบบเหมาจ่าย 150 บาทในเขตปริมณฑล และมีการใช้งาน Outsource เสริมในวันที่มียอดสั่งซื้อจำนวนมาก

โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง“: ปฏิวัติปฏิทินจีนสู่ Data Application

กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล CEO บริษัท วรศิลป์กราฟฟิค จำกัด

กรณีศึกษาที่สองคือธุรกิจ “น่ำเอี๊ยงกรุ๊ป” ของ กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล CEO บริษัท วรศิลป์กราฟฟิค จำกัด และทายาทรุ่นที่สาม ธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวคือสำนักโหราศาสตร์และโรงพิมพ์ ซึ่งก่อตั้งมากว่า 50 ปี และเป็นที่รู้จักจากการผลิตปฏิทินจีนเล่มสีแดง

คุณกิตติธัชเล่าว่าเมื่อเขากลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน แม้ในขณะนั้นบริษัทยังไม่ถึงขั้นวิกฤติและยังมีลูกค้ากลุ่ม B2B ที่แข็งแกร่งอย่างบริษัทโฆษณา แต่เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค โดยสังเกตว่าเพื่อน ๆ และคนรุ่นใหม่แทบไม่ใช้ปฏิทินแบบเดิมอีกต่อไป เขาประเมินว่าหากไม่ปรับเปลี่ยน ธุรกิจอาจอยู่ไม่รอดในอีก 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า

คุณกิตติธัชซึ่งกลับมาจากการเรียนต่างประเทศและมีแนวคิดแบบ “หัวสมัยใหม่” ในตอนแรกไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์เลย แต่เขาใช้เวลา 3-4 ปีในการศึกษาแก่นแท้ (Core Value) ของธุรกิจครอบครัว จนเข้าใจว่าโหรศาสตร์จีนนั้นเป็นเรื่องของสถิติและข้อมูล เขาทำวิจัยตลาดและพบว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจเรื่องฤกษ์ยามตามปฏิทินแบบดั้งเดิม แต่ให้ความสนใจอย่างมากกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Personalized) เช่น สีมงคล เวลามงคล หรือกิจกรรมที่ควรทำในแต่ละวัน ข้อมูลเหล่านี้มีอยู่แล้วในโหรศาสตร์ของนำเอียง แต่เป็นภาษาจีนและไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อรายบุคคล

เขาจึงตัดสินใจที่จะ Disrupt ธุรกิจด้วยตัวเอง แต่เลือกใช้กลยุทธ์ที่ตรงกันข้ามกับคุณอรนภัส คือ “แอบทำ” (Stealth) เขาใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการเตรียมข้อมูล และอีก 1 ปีในการพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และเพิ่งนำเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อคุณแม่หลังจากที่แอปพลิเคชันเปิดตัวแล้วและได้รับการตอบรับที่ดี โดยในปีแรกมียอดผู้ใช้ประมาณ 1 แสนราย พวกท่านก็รู้สึกประหลาดใจมาก หลังจากนั้น เขาได้ขอเงินทุนสนับสนุนที่เขาเรียกว่าเป็น “ซีดฟันดิ้ง” (Seed Funding) จากคุณพ่อ เพื่อใช้ในการขยายตลาดต่อไป เขาวางโครงสร้างโดยแยกทีมพัฒนาแอปพลิเคชันและการตลาดออกมาจากธุรกิจโรงพิมพ์เดิมอย่างชัดเจน เพื่อลดความขัดแย้งด้านแนวคิดและการทำงาน

ปัจจุบัน แอปพลิเคชันของน่ำเอี๊ยงก็อยู่ในช่วงเติบโตเช่นกัน โดยมียอดผู้ใช้งาน 500,000 ราย และมีอัตราการเติบโตของฐานผู้ใช้ (User Base) ปีละประมาณ 300% ที่สำคัญคือมีอัตราส่วนผู้ใช้งานที่สมัครสมาชิกแบบชำระเงิน (Subscription) ถึง 10% ฟีเจอร์หลักคือการให้สีมงคลแบบ Personalize ที่คำนวณจากวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดของแต่ละบุคคลตามหลักการ 5 ธาตุของจีน ซึ่งแตกต่างจากตารางสีมงคลทั่วไปที่อิงตามวันในสัปดาห์

กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล ทายาทรุ่น 3 “น่ำเอี๊ยง” ผู้นำพาโหราศาสตร์จีนโลดแล่นในโลกดิจิทัล

ก้าวต่อไป: จาก “ผ้า” สู่ “AI” กับภารกิจที่ใหญ่กว่าเดิม

สำหรับก้าวต่อไป ธุรกิจใหม่ทั้งสองยังมีเป้าหมายที่ชัดเจน คุณอรนภัสต้องการให้นิรันดร์เป็นตัวอย่างของ SME ที่พิสูจน์ได้ว่าสามารถสร้างผลกำไรควบคู่ไปกับการช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ (Social Enterprise) และต้องการขยายบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานศพ (Funeral) มากขึ้น โดยยังยึดเสาหลักด้านการช่วยเหลือสังคมและรักษ์โลก

ในขณะที่คุณกิตติธัช มีเป้าหมายในการทำให้โหราศาสตร์เป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน และไม่ดูงมงาย ก้าวสำคัญของเขาคือการนำเทคโนโลยี AI สมัยใหม่ เข้ามาใช้วิเคราะห์ฐานข้อมูล (Database) โหราศาสตร์จีนที่ครอบครัวรวบรวมไว้ เขายังชี้ให้เห็นความแตกต่างว่า AI ทั่วไปอย่าง ChatGPT เป็น Large Language Model (LLM) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและสร้างเนื้อหา แต่ AI ของนำเอียงจะถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ “หลักการคำนวณ” (Logic Calculation) ที่ซับซ้อนและแม่นยำตามหลักโหราศาสตร์จีนโดยเฉพาะ ซึ่งต้องใช้วันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดที่แม่นยำในการคำนวณ ซึ่ง AI ทั่วไปไม่สามารถทำได้ นี่จึงเป็นการพัฒนา AI ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialized AI) ด้านโหราศาสตร์จีนโดยตรง

เรื่องราวของ คุณอรนภัส บุญอนันตพัฒน์ และ คุณกิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล ที่แบ่งปันในงาน SME Thailand Future Day 2026 สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของ “Recode DNA” ได้อย่างชัดเจน ทั้งสองแสดงให้เห็นว่ามรดกของครอบครัว (Family Legacy) ไม่ใช่ภาระ แต่คือสินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล ไม่ว่าจะเผชิญกับวิกฤติอุตสาหกรรมตะวันตกดิน หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความท้าทายของทายาทรุ่นใหม่จึงไม่ใช่การทิ้งอดีต แต่คือการ “ตีความ” สินทรัพย์เดิมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานทอผ้า หรือคลังข้อมูลโหราศาสตร์ แล้วผสานเข้ากับโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้ก้าวทันอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Goodnotes บุกไทย เผยไทยตลาด Top 10 เปิดตัวแพ็กเกจใหม่-วิสัยทัศน์ AI สู่องค์กร

เจาะ 4 พลังซื้อใหม่ 2026 ‘Soloist – Kidult’ ขับเคลื่อนตลาด

×

Share

ผู้เขียน