การพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อโจทย์ไม่ได้มีแค่เรื่องผลผลิตและความหอมอร่อย แต่ขยายไปสู่การ “อยู่รอด” ในสมรภูมิการค้าโลกและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น นี่คือประเด็นสำคัญที่สะท้อนผ่านเวที “NSTDA-KU Rice Field Day 2025″ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.
งานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงพันธุ์ข้าวใหม่ แต่คือการประกาศทิศทางเชิงกลยุทธ์ของวงการวิจัยข้าวไทย ที่มุ่งตอบโจทย์มิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง
เป้าหมายใหม่: 2 ตันต่อไร่และข้าวคาร์บอนต่ำ
ในปัจจุบัน การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากกว่าในอดีต ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติของการเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องตอบสนองต่อกติกาใหม่ของประชาคมโลก โดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อธิบายถึงประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันประชาคมโลกมีความกังวลต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำนา โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในการกีดกันทางการค้า ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในการส่งออกไปยังตลาดยุโรป “นี่จึงเป็นหน้าที่ของศูนย์ข้าวของเรากับ สวทช. ที่จะทำพันธุ์ข้าวอะไรที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ” ดร.ดำรงค์ กล่าวย้ำ

ในขณะเดียวกัน การพัฒนาพันธุ์ข้าวยังคงต้องเดินหน้าด้านการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ระบุถึงเป้าหมายสำคัญว่า คือการมุ่งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีศักยภาพการผลิตสูงถึงระดับ 2 ตันต่อไร่ ควบคู่ไปกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้ข้าวสามารถรับมือกับสภาวะแวดล้อมวิกฤตต่าง ๆ ได้
จากโจทย์เร่งด่วนทั้งสองมิติ จึงนำมาสู่การกำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมข้าวใน 3 มิติหลัก ดังนี้
- ด้านผลผลิตและประสิทธิภาพ: มุ่งเป้าหมายผลผลิต 2 ตันต่อไร่ และพัฒนาพันธุ์ให้มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นลง (90-100 วัน) เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น
- ด้านความทนทาน: พัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีความสามารถในการต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช รวมถึงทนต่อสภาวะอากาศสุดขั้ว เช่น ภาวะทนร้อนและทนแล้ง เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ด้านสิ่งแวดล้อม: มุ่งเน้นพันธุ์ข้าวที่ใช้ปัจจัยการผลิต (เช่น ปุ๋ยและน้ำ) อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือต้องตอบโจทย์การค้าสากลในประเด็น “ข้าวคาร์บอนต่ำ”
รากฐาน 25 ปีแห่งความร่วมมือ: กุญแจสู่เทคโนโลยีชีวโมเลกุล
ความสำเร็จและเป้าหมายอันท้าทายในการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น แต่ตั้งอยู่บนรากฐานความร่วมมืออันยาวนานตลอด 25 ปี ระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเฉพาะศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)
รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า ความร่วมมือดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 และได้นำไปสู่ก้าวสำคัญยิ่งของประเทศไทย นั่นคือการเข้าร่วมโครงการถอดรหัสจีโนมข้าว (Rice Genome Sequencing) ร่วมกับเครือข่ายนานาชาติถึง 16 ประเทศ ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ ทำให้ไทยสามารถค้นพบยีนสำคัญต่างๆ ที่ควบคุมลักษณะของข้าว และเปิดศักราชใหม่ของการพัฒนาพันธุ์ข้าวโดยใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบัน ความร่วมมือดังกล่าวยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนได้ยกระดับเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค (Regional Hub) ด้านการประยุกต์ใช้เทคนิค Marker Assisted Selection (MAS) หรือ “การใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือกพันธุ์” เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเฉพาะ โดยมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ทั้งในด้านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวิจัยที่ทันสมัย ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โรงเรือนทดลอง และห้องควบคุมอุณหภูมิที่ได้มาตรฐาน
ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่
ความร่วมมือตลอดระยะเวลา 25 ปี ได้นำมาสู่ผลลัพธ์เชิงรูปธรรมที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่สำคัญคือการจัดตั้ง ห้องปฏิบัติการ Q เทคโนโลยี ซึ่งมีบทบาทในการให้บริการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของผลิตภัณฑ์ข้าวแก่ภาคเอกชนเพื่อการส่งออก ภารกิจนี้ได้ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น ผลงานวิจัยยังได้นำไปสู่การพัฒนาและคัดเลือกพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลาย และพร้อมสำหรับการเผยแพร่สู่ภาคการเกษตรและเชิงพาณิชย์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- กลุ่มข้าวโภชนาการสูง เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่, ข้าวสินเหล็ก และข้าวสรรเสริญ
- กลุ่มข้าวหอมคุณภาพสูง เช่น ข้าวหอมชลสิทธิ์ และ องค์พระปฐมสัมพันธุ์
- กลุ่มข้าวเหนียว เช่น พันธุ์ กข 6 ต้นเตี้ย และโดยเฉพาะพันธุ์ กข 59 ซึ่งถือเป็นพันธุ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกษตรกรในภาคเหนือ
อย่างไรก็ตาม ดร.ดำรงค์ ได้เน้นย้ำถึงปัจจัยสำคัญว่า แม้การพัฒนาพันธุ์ให้ได้ปริมาณผลผลิตสูงจะเป็นเป้าหมายหลัก แต่หัวใจสำคัญของข้าวไทยที่ขาดไม่ได้คือ “ความอร่อย” เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่ให้ความสำคัญกับรสชาติเป็นหลัก ซึ่งท่านระบุว่านี่คือความเชี่ยวชาญที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยึดถือและให้ความสำคัญตลอดมา
ภารกิจเพื่อเกษตรกรไทย: ผลงานวิจัยที่ “คืนสู่ประเทศชาติ“
ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ ดร.ดำรงค์ ได้เน้นย้ำ คือความแตกต่างเชิงภารกิจระหว่างหน่วยงานวิจัยภาครัฐและภาคเอกชน โดยท่านชี้ว่า สิ่งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ สวทช. ดำเนินการนั้น มีเป้าหมายหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะ และไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรเป็นตัวเงินจากเกษตรกร
ด้วยเหตุนี้ งาน “NSTDA KU Rice Field Day 2025” จึงไม่ได้เป็นเพียงงานจัดแสดงผลงาน แต่เปรียบเสมือนเวทีสำคัญในการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจ ได้เข้ามาสัมผัสและเห็นภาพการใช้งานจริงของพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ
นอกจากนี้ ภายในงานยังนำเสนอนวัตกรรมด้านการจัดการแปลงเกษตรสมัยใหม่ เช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชีวภัณฑ์ต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการผลักดันให้ผลงานวิจัยเหล่านี้ถูกนำไปประยุกต์ใช้และต่อยอดในภาคการเกษตรจริง อันจะนำไปสู่การพัฒนาภาคการเกษตรของไทยอย่างยั่งยืนต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกเกมข้าวไทย ส่ง ‘พันธุ์สยาม’ สู้ตลาดโลก ลดต้นทุนส่งออก-เพิ่มรายได้ชาวนา
Beacon VC ผนึก Google Cloud และ depa ปั้น AI ไทยสู่เวทีโลกเผย 3 ผู้ชนะ TH.AI Leaders Accelerator




