การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำนา ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนา AI หรือ IoT ที่ซับซ้อนภายใต้มือของนักวิจัยอีกต่อไป แต่กำลังก้าวไปสู่จุดที่เรียกว่า นวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) นี่คือแนวทางสำคัญที่ ดร.ธีระ ภัทราพรนันท์ นักวิจัยอาวุโสทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช. และทีมงาน กำลังผลักดัน เพื่อลดช่องว่างทางเทคโนโลยี และปั้นให้เกษตรกรสามารถสร้างอุปกรณ์ IoT ราคาถูกขึ้นใช้เองได้
แนวคิดนี้ถูกขับเคลื่อนผ่านการเปิดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เป็นของฟรี โดยไม่เก็บค่าไลเซนส์ เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปต่อยอดได้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการถ่ายทอดองค์ความรู้ดิจิทัลไปสู่เกษตรกรโดยตรง ไม่ได้มองแค่ในแง่ของผู้ประกอบการ
หัวใจสำคัญคือการทำให้โค้ดกลายเป็นเรื่องง่าย โดยมีการพัฒนาวิธีการเขียนโค้ดแบบบล็อก ที่คล้ายคลึงกับของ Google ซึ่งถูกออกแบบให้ง่ายพอที่แม้แต่เด็กประถมก็สามารถเรียนรู้การเขียนโค้ดได้
AI: ผู้ช่วยอัจฉริยะในทุ่งนา

หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายคือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะการนำมาช่วยเกษตรกรในการวินิจฉัยโรคข้าว จากเดิมที่อาจมีถึง 36 โรค ปัจจุบันระบบสามารถจำแนกโรคหลัก ๆ ที่มีการวิจัยแล้วได้ประมาณ 10 โรค เกษตรกรเพียงแค่ถ่ายรูป ระบบบอทก็จะประมวลผลและแจ้งว่าเป็นโรคอะไรด้วยความแม่นยำสูง
เบื้องหลังการทำงานนี้ คือการใช้ผู้เชี่ยวชาญมามาร์คตำแหน่ง ของโรคบนภาพจำนวนมหาศาลเพื่อฝึกฝน AI และยังมีการตรวจสอบว่า AI มอง หรือ สนใจ ในจุดที่ถูกต้องของภาพหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าการจำแนกโรคนั้นแม่นยำจริง
นอกจากโรคพืช AI ยังถูกผนวกรวมกับเทคนิคคอมพิวเตอร์วิชั่น (Computer Vision) เพื่อสร้างข้อมูลดิจิทัลของพันธุ์ข้าว โดยใช้เครื่องสแกน 3 มิติ เพื่อวัดสัดส่วนต่างๆ เช่น ความกว้างใบ ความสูง และสถาปัตยกรรมของต้นข้าว ข้อมูลนี้จะช่วยให้ Machine Learning (ML) สามารถเข้ามาช่วยประเมินและจำแนกพันธุ์ข้าวได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาพันธุ์ใหม่ ๆ
ในภาคสนาม เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปติดตั้งบนโดรน (GS Drone) เพื่อถ่ายภาพและใช้ AI ช่วยสกอร์ลิ่ง ประเมินความเสียหาย เช่น โรคไหม้ หรือความแห้งแล้ง ซึ่งช่วยลดงานของนักวิจัยและทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น
ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: จากไร่ศรีสู่การพยากรณ์โรค
การเก็บข้อมูลยังนำไปสู่การพัฒนาระบบประเมินความเสี่ยงในชื่อ ไร่ศรี (Raisri) ระบบนี้จะช่วยให้เกษตรกรทราบว่าพื้นที่ของตนมีความเสี่ยงอะไรบ้าง เช่น ดิน สภาพอากาศ ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือภัยแล้ง ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยประเมินจากปัจจัยกว่า 88 ข้อ ที่สำคัญ ระบบยังสามารถแนะนำพันธุ์ข้าวที่ทนทานต่อความเสี่ยงนั้นๆ ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบยังสามารถพยากรณ์โรค ล่วงหน้าได้ โดยอาศัยข้อมูลแพทเทิร์นของโรค ข้อมูลสิ่งแวดล้อมย้อนหลัง และการพยากรณ์อากาศ 7 วันข้างหน้า เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรในจุดที่จะเกิดโรคได้ ปัจจุบันระบบนี้เปิดให้ใช้งานทั้งบน LINE, เว็บ และในรูปแบบ API ให้หน่วยงานอื่นนำไปเชื่อมต่อ
IoT: จัดการน้ำอัจฉริยะและการแกล้งพืช
เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ถูกนำมาใช้เพื่อการจัดการน้ำ โดยเฉพาะในการปลูกข้าวแบบแห้ง ระบบเซ็นเซอร์จะตรวจวัดระดับน้ำในนา สภาพอากาศ ความชื้น อุณหภูมิ และปริมาณฝน และแจ้งเตือนเกษตรกรเมื่อระดับน้ำลดลงจนถึงจุดที่ต้องสูบน้ำเข้า
การควบคุมการให้น้ำยังสามารถทำได้ละเอียดถึงขั้นแกล้งพืช ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียนรู้จากญี่ปุ่น โดยอาศัยข้อมูลจากเซ็นเซอร์ เช่น การหาพื้นที่ใบ หรือการวัดค่าลีฟวอเตอร์โพเทนเชียล (Leaf Water Potential) เพื่อควบคุมการจ่ายน้ำ ปล่อยให้พืชอยู่ในสภาวะขาดน้ำหรือเกือบตายแล้วจึงให้น้ำ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยให้พืชแข็งแรงขึ้น
ผลงานของ ดร.ธีระ และทีมงานเนคเทค จึงไม่ได้เป็นเพียงการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI หรือ IoT เพื่อการเกษตรเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือปรัชญา “นวัตกรรมแบบเปิด” การทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เป็นของฟรีที่ทุกคนเข้าถึงได้ ประกอบกับการทำให้การเขียนโค้ดง่ายเหมือนการต่อบล็อก คือก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนเกษตรกรจากผู้ใช้ ให้กลายเป็นผู้สร้างนวัตกรรมราคาถูกได้ด้วยตนเอง นี่คือหัวใจที่จะนำไปสู่การขยายผลเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคการผลิตเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกโฉมข้าวไทย ชูธง ‘2 ตันต่อไร่ – คาร์บอนต่ำ’ สู้กติกาโลกใหม่
NEC ชู 3 โซลูชัน AI พลิกโฉม ‘คุณภาพชีวิต’ บุก Thailand Smart City Expo 2025




