Share on
×

Share

‘สงครามสแกมเมอร์’ ส่อแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

'สงครามสแกมเมอร์' ส่อแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “อนุทิน ชาญวีระกุล” เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมี 15 เครือข่าย ร่วมลงนามและตั้ง “ซูเปอร์บอร์ด” ขึ้นมาเป็นพิเศษพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะเอาจริงกับอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่บัญชีม้า ปลอมเสียง ปลอมหน้า ไปจนถึงการหลอกลงทุนผ่านโซเชียล

อย่างไรก็ตาม การจัดอีเวนต์ครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นแค่การจัดฉากเชิงสัญลักษณ์หรือ “สร้างภาพ” มากกว่าปฏิบัติการจริง ทราบมาว่าหลายหน่วยงานยังไม่ทราบ “คำสั่งที่แท้จริง” จากนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในการประสานงาน ระหว่างนโยบายของฝ่ายการเมืองกับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ปฏิบัติ อีกทั้งการไม่กำหนดกรอบเวลาการทำงานและรายงานผลที่ชัดเจนว่าจะต้องสำเร็จในห้วงเวลาใด 15 วันหรือ 1 เดือน เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นเพียง “พิธีกรรม” มากกว่าการทำสงครามจริง ๆ

ที่สำคัญ ในห้วงเวลาแค่เดือนกว่า ๆ ที่รัฐบาลอนุทินเข้ามาบริหารประเทศ ถูกสังคมตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการปราบสแกมเมอร์ที่ล่าช้า ต่างจากหลาย ๆ ประเทศที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ กระทั่งถูกนำไปโยงการเมืองกับคนในรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับบุคคลใกล้ชิดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งเชื่อมโยงกับขบวนการฟอกเงินของกลุ่มปรินซ์ โฮลดิ้ง (Prince Holding Group) ในกัมพูชา ตรงนี้กลายเป็นสายล่อฟ้าชั้นดี

เหนือสิ่งอื่นใด สงครามสแกมเมอร์ของรัฐบาลอนุทินกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของโครงสร้างอำนาจรัฐ เมื่อผู้นำรัฐบาลไม่กล้าจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับ “คนที่ถูกกล่าวหาในรัฐบาล” ทั้งที่สังคมต่างจับจ้องให้ความสนใจ

ทั้งที่มีแรงกดดันจากนอกประเทศ ที่หลาย ๆ ประเทศเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ สหรัฐอเมริกาได้ยึดทรัพย์กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ราว 4.87 แสนล้านบาท อังกฤษได้ยึดคฤหาสน์หรู 520 ล้านบาท อายัดสำนักงาน 4,334 ล้านบาท แฟลตอีก 17 แห่งทั้งหมดอยู่ในลอนดอนที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของกลุ่มดังกล่าว รัฐบาลเกาหลีใต้อายัดเงินกว่า 2,000 ล้านบาทของสแกมเมอร์ ที่ฝากเงินไว้ในธนาคารเกาหลีใต้ สาขากัมพูชา ไต้หวันอายัดเงินจำนวน 4,749 ล้านบาท ค้นสถานที่เป้าหมาย 47 จับผู้ต้องสงสัย 25 คน ฮ่องกงอายัดทรัพย์ 11,520 ล้านบาท และล่าสุดสิงคโปร์ ยึดทรัพย์ 3,730 ล้านบาท ขณะที่ไทย ดีเอสไอไม่พบความเชื่อมโยง ปรินซ์ อินเตอร์เนชันแนลและปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป

สงครามสแกมเมอร์ ของรัฐบาลจึงถูกมองว่าเป็นแค่ “สงครามสร้างภาพ” ที่มีเป้าหมายทางการเมืองมากกว่าต้องการแก้ปัญหาจริง ๆ การประกาศสงครามในช่วงที่รัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งนายกฯถูกวิจารณ์เรื่องภาวะผู้นำ การประกาศสงครามไซเบอร์ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังเอาจริงเอาจังและต้องการปกป้องประชาชนจริง ๆ

ขณะเดียวกัน “เอนก อยู่ยืน” รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยภายในงานสัมมนา Better Trade 2025 Intelligent Investor : ปลดล็อคความคิด พิชิตโอกาส ฉลาดลงทุน ในหัวข้อ Striking the Balance Between Defense and Offense กลยุทธ์ตั้งรับความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เห็นโอกาสลงทุนปี 2026 ว่า “ปัจจุบันประเด็นที่นักลงทุนควรระวังเป็นพิเศษ คือเรื่องของสแกมเมอร์ ซึ่งมักเกิดจากการที่นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสูงโดยไม่รู้ตัว และตกเป็นเหยื่อของการหลอกลงทุน โดยตั้งแต่ต้นปี ก.ล.ต. ได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการหลอกลงทุนเกือบ 8,000 เคส”

“ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อปิดกั้นแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง จำนวนกว่า 3,000 เว็บไซต์ เพื่อลดความเสียหาย นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการถูกหลอกลงทุนมากกว่า 1,000 ราย ขณะที่ระบบดาต้าบูโร (Data Bureau) อยู่ในขั้นตอนการทดสอบระบบ (System Test) ซึ่งคาดว่าจะให้ทดลองเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้น ระบบจะพร้อมสำหรับการใช้งานจริง”

ทุกวันนี้สแกมเมอร์ยุคใหม่ไม่ได้ใช้เพียงโทรศัพท์ปลอมเสียงหรือแค่ส่งลิงค์หลอก แต่ใช้เทคโนโลยีระดับ AI ที่สามารถ “สร้างหน้าคนจริง-เสียงจริง” ได้ภายในไม่กี่นาที มีแม้กระทั่งปลอมเสียงลูกสาวหลอกให้แม่โอนเงิน

ในขณะที่ฝั่งรัฐยังใช้วิธีไล่ตามมากกว่าการสกัดก่อนเกิดเหตุ ประเทศที่เอาชนะสแกมเมอร์ได้บางส่วน เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ใช้ระบบ AI ตรวจจับธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์และเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารกับตำรวจไซเบอร์ เมื่อธุรกรรมเข้าข่ายหลอกลวง ระบบจะแจ้งเตือนทันทีและระงับธุรกรรมโดยอัตโนมัติ

หากรัฐบาลอนุทิน ต้องการจะรบกับขบวนการสแกมเมอร์จริง ๆ ต้องลงทุนเทคโนโลยีทันสมัย ไม่ใช่แค่ตั้งคณะกรรมการที่ไม่เคยมีการประชุมหรือทำแอปใหม่ที่คนไม่ใช้ อีกด้านหนึ่งก็ยังต้องจัดการ “บัญชีม้า” อย่างจริงจัง เพราะมันคือโครงสร้างพื้นฐานของสแกมเมอร์ การทำสงครามกับสแกมเมอร์โดยไม่จัดการบัญชีม้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามโดยไม่เก็บอาวุธศัตรู

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการดังกล่าวข้างต้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังไม่กระชับโครงสร้างราชการให้เกิดความคล่องตัว อาชญากรรมออนไลน์ไม่สามารถจัดการได้โดยคำสั่งฝ่ายเดียว เพราะเป็นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจไซเบอร์ กระทรวงดิจิทัล แบงก์ชาติ กสทช. และกระทรวงการคลัง

ตราบใดที่ระบบราชการยังทำงานแบบตัวใครตัวมัน ต่างก็มีอาณาจักรของตัวเอง ยากที่จะสำเร็จ เช่น ตำรวจไซเบอร์มีข้อมูลคนร้าย แต่ไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมของธนาคาร ธนาคารพบสิ่งผิดปกติ แต่ไม่สามารถอายัดได้ กสทช. ตรวจสอบเบอร์โทรต้องสงสัยได้ แต่ไม่สามารถแชร์ข้อมูลกระทรวงดิจิทัลแบบเรียลไทม์ เป็นต้น ตัวอย่างนี้เกิดขึ้นจริงในโครงสร้างราชการทุกวันนี้

ในขณะที่ขบวนการสแกมเมอร์ อาชญากรไซเบอร์ใช้เทคโนโลยีระดับโลก แต่รัฐไทยยังใช้ระบบเอกสารหนังสือราชการ เป็นเครื่องมือในการทำงาน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลต้องการให้ “สงครามสแกมเมอร์” เป็นจริง ต้องปฏิรูปโครงสร้างการทำงานให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบเรียลไทม์ และต้องปรับปรุงกฎหมายให้หน่วยงานด้านการเงินและความมั่นคงสามารถ “บล็อกบัญชี” ผู้ต้องสงสัยชั่วคราวได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องรอคำสั่งหลายชั้นหลายขั้นตอน

ถ้ารัฐบาลอนุทิน ไม่สามารถยกเครื่องระบบราชการที่เกี่ยวข้องและกระบวนการทำงานได้ นั่นหมายความว่าสงครามครั้งนี้รัฐบาลแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เศรษฐกิจไทย ในอุ้งมือ ‘ขบวนการสแกมเมอร์’

รายได้ไม่พอรายจ่าย… ระเบิดเวลาลูกใหม่

รัฐบาลชั่วคราว ‘4+4 เดือน’ ต้องทำอะไร?

×

Share