Share on
×

Share

‘จำเป็นไหมต้องมี Bitcoin?’ ซีเคชี้ ‘สมองไหล’ สู่ AI | เซียนมี่เตือนภัย ‘จีน’

'จำเป็นไหมต้องมี Bitcoin?' ซีเคชี้ 'สมองไหล' สู่ AI | เซียนมี่เตือนภัย 'จีน'

บนเวทีเสวนา “จำเป็นไหมต้องมี Bitcoin?” ในงาน Blockchain Week 2025 ซีเค เจิง ซีอีโอ FASTWORK และนักลงทุนคริปโทรายใหญ่ ได้ประกาศจุดยืนที่น่าสนใจว่า หากต้องเลือกลงทุนในวันนี้ เขาจะเลือก “หุ้น AI” มากกว่าคริปโท โดยให้เหตุผลหลักคือปรากฏการณ์ “สมองไหล” (Brain Drain) ที่เหล่าอัจฉริยะและนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลกได้ย้ายจาก Blockchain ไปสู่ AI แล้ว อย่างไรก็ตาม “เซียนมี่” ธิวา ชินธาดาพงศ์ ได้ให้มุมมองที่น่ากังวล โดยเตือนว่า “จีน” อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาทุบตลาด AI ด้วยกลยุทธ์ Open Source

AI คืออนาคต? เมื่อ “สมอง” ไหลออกจากคริปโท

คุณซีเคอธิบายเหตุผลว่า “แนวคิดหลักของนักลงทุน” (Investor Thesis) ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาสังเกตว่าวัฏจักรของคริปโทที่ควรจะพุ่งสูงในปี 2025 (ตามข้อมูลในอดีต) กลับไม่เกิดขึ้น

เหตุผลหลักคือ ปรากฏการณ์ “สมองไหล” (Brain Drain)

คุณซีเคชี้ว่า ขณะนี้กลุ่มคนที่เป็นอัจฉริยะหรือนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่เก่งที่สุดในโลก (เช่น จาก Harvard, MIT) ไม่ได้มุ่งไปที่การสร้าง Blockchain, Web3 หรือ DeFi อีกต่อไป แต่มันสมองเหล่านั้นกำลังมุ่งไปที่ AI

ในอดีตช่วงปี 2020-2021 คริปโทเคยรุ่งเรืองมากเพราะการปฏิวัติวงการอย่าง DeFi เช่น Uniswap, Aave แต่วันนี้ นวัตกรรมในโลกคริปโทเกิดขึ้นในอัตราที่ช้าลง สวนทางกับฝั่ง AI ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะเป็นที่รวมของเหล่าคนเก่งในปัจจุบัน

ด้านคุณธิวาเองก็เห็นด้วยในประเด็นนี้ โดยมองว่า AI กำลังจะมาอย่างแน่นอน เพราะเป็นจุดบรรจบของปัจจัยหลายอย่างที่พร้อมแล้ว ทั้งเงินทุน 5G และพลังการประมวลผล

ถกประเด็น “ฟองสบู่ AI”

เมื่อทิศทางชัดเจนว่า AI คืออนาคต คำถามต่อมาคือ ราคาหุ้น AI ในปัจจุบันเป็นฟองสบู่แล้วหรือไม่ ซึ่งทั้งสองมีมุมมองที่แตกต่างกัน

คุณซีเคกล่าวว่า นี่ยังไม่ใช่ฟองสบู่ แต่คือจุดเริ่มต้น โดยมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างจากยุคฟองสบู่ Dot Com อย่างสิ้นเชิง โดยในยุค Dot Com นั้น ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ แต่ในยุค AI ปัจจุบัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสร้างแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เป็นของตัวเองได้

เขาชี้ว่า การเติบโตของหุ้น AI ในวันนี้ มาจากบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจริง เช่น กลุ่ม Magnificent Seven อย่าง Nvidia, Google, Meta และเราทุกคนรู้ดีว่า AI ที่เราใช้ในวันนี้ คือ AI ที่ “โง่ที่สุด” เท่าที่มันจะเป็นได้ และมันจะฉลาดขึ้นอีกมากในอนาคต เขามองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ S-Curve รอบใหม่ ที่จะยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา

ธิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนซี่) Value Investor
ธิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนซี่) Value Investor

คุณธิวา “เซียนมี่” เตือนให้ระวังตัวแปรที่ชื่อ ‘จีน’” เขาไม่ได้ปฏิเสธการเติบโตของ AI เขากลับชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่มองข้าม นั่นคือ ประเทศจีน

เขาระบุว่า ในยุค Dot Com จีนยังไม่มีบทบาทสำคัญ แต่ในวันนี้ จีนมีผู้ใช้งาน AI รวมกันกว่า 729 ล้านคน (จาก 12 โมเดลแรก) และที่สำคัญคือ จีนกำลังผลักดันให้โมเดล AI ของตนเองเป็น Open Source

“เซียนมี่” ตั้งสมมติฐานว่า จีนอาจกำลังใช้กลยุทธ์ทำให้ซอฟต์แวร์ AI ฟรี เพื่อมุ่งขายฮาร์ดแวร์แทน หากเป็นเช่นนั้น บริษัท AI ในสหรัฐฯ ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนักลงทุนว่าต้องจับตาดูความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจนี้ให้ดี

ปรัชญาการลงทุน: “การหาเงิน” และ “การเลือก”

นอกจากการวิเคราะห์สินทรัพย์แล้ว ทั้งสองยังได้แชร์หลักคิดสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง

คุณซีเคมองว่า การลงทุนอย่างเดียวไม่ทำให้รวย เขาย้ำว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องการเงิน การมีเงินตั้งต้นน้อย เช่น หนึ่งแสนบาท แล้วหวังจะรวยหรือมีอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้

หัวใจสำคัญคือ ต้องหาเงินให้มากขึ้น เพื่อสร้าง “เงินเย็น” (เงินที่หากสูญเสียไปก็ไม่เดือดร้อน) แล้วจึงนำเงินเย็นนั้นไปลงทุนซ้ำ ๆ นี่คือหนทางเดียวที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนได้

ด้าน คุณธิวา “เซียนมี่” มองว่า “นักลงทุนคือ ‘นักเลือก’ โดยเปรียบเทียบว่า นักธุรกิจคือ “นักสู้” (Fighter) ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค แต่นักลงทุนคือ “นักเลือก” (Chooser)

หน้าที่ของนักลงทุนคือ การมองหา “Underdog” หรือสินทรัพย์ที่คนอื่นยังมองไม่เห็นคุณค่า หรือประเมินค่าต่ำเกินไป เช่น การมองเห็นศักยภาพของ Netflix ตั้งแต่ยุคที่ยังต้องส่ง DVD ทางไปรษณีย์ หรือการเลือกสนับสนุนคนที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม

แล้ว Bitcoin ยังจำเป็นต้องมีหรือไม่?

สำหรับคำถามหลักของงาน คุณซีเค ยังคงยืนยันว่า Bitcoin จำเป็นต้องมี โดยยึดแนวคิด “1 Bitcoin = 1 Bitcoin” เขาอธิบายว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ไม่อาจ “เฟ้อ” ได้ ในขณะที่เงินสดหรือเงินฝากธนาคารนั้น มูลค่าจะลดลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา (เงินเฟ้อ) เขามองว่า การถือเงินสดเปล่าๆ ไว้ในธนาคาร คือความเสี่ยงสูงสุด เพราะแพ้เงินเฟ้ออย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน คุณธิวา หรือ “เซียนมี่” ยอมรับว่าถือ Bitcoin อยู่ 2 BTC แต่มีไว้เพื่อ “ติดตาม” ตลาดเท่านั้น โดยเขายังคงมุ่งเน้นการลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัดและเข้าใจ (คือหุ้น) ซึ่งเขามีความได้เปรียบ (Alpha) มากกว่า

โดยสรุป แม้ทั้งสองจะมองสินทรัพย์ต่างกัน แต่มีหลักการร่วมกันคือ ต้องลงทุนในสิ่งที่ตนเองเชื่อและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะส่วนที่ยากที่สุดของการลงทุนไม่ใช่การหาไอเดีย แต่คือ “ระหว่างทาง” ที่ต้องอดทนถือสินทรัพย์นั้นไว้ให้ได้

ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเลือกถือสินทรัพย์ใด นักลงทุนจำเป็นต้องมี “Alpha” ความเข้าใจที่เหนือกว่าคนอื่น และต้อง “เชื่อ” ในสิ่งที่ตนเองลงทุน เพื่อให้สามารถอดทนถือมันไว้ได้ใน “ระหว่างทาง” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของการลงทุน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เมื่อนักข่าวผันตัวเป็น ‘อินฟลูฯ’ Vero ชี้ ‘Newsfluencers’ 5 กลุ่มพลิกโฉมสื่อไทยยุคดิจิทัล

จากบัญชีออมทรัพย์สู่ลงทุนคริปโทฯ เมื่อ Gen Z มองความผันผวนเป็นโอกาส

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน