ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยังมีทรัพยากรที่ทรงพลังที่สุดที่ถูกมองข้าม นั่นคือพลังของ ‘สตรี’ Jenelle Babb ที่ปรึกษาภูมิภาคด้านการศึกษาฯ จากยูเนสโก กรุงเทพฯ ฉายภาพความจริงที่น่ากังวลว่า ทั่วโลกมีนักวิจัยหญิงเพียง 33% และผู้หญิงที่จบการศึกษาในสาย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) มีเพียง 35% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แทบไม่ขยับเลยในรอบทศวรรษ
ท่ามกลางช่องว่างขนาดใหญ่นี้ โครงการ “ทุนวิจัยลอรีอัล-ยูเนสโก เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (L’Oréal-UNESCO For Women in Science) จึงเปรียบเสมือนแสงสปอตไลต์ที่ส่องไปยังพลังนี้ แพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา ย้ำว่า วิทยาศาสตร์คือหัวใจหลักของลอรีอัล และโครงการนี้คือความภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนผู้หญิงผู้เป็นผู้รังสรรค์อนาคต ตลอด 23 ปีในประเทศไทย
นี่คือเรื่องราวของ สตรีนักวิทย์ไทย 4 ท่าน ผู้ได้รับทุนในปีล่าสุด ภารกิจของพวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องทดลอง แต่คือการเดิมพันกับอนาคตของชาติใน 4 วิกฤตการณ์สำคัญ: สภาพภูมิอากาศ, สุขภาพสังคมสูงวัย, ความมั่นคงทางอาหาร และพลังงาน
ภารกิจที่ 1: วิศวกรผู้สร้างโลก… จากสิ่งที่โลกทิ้ง

หากอุตสาหกรรมการก่อสร้างคือหนึ่งในจำเลยหลักของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ “ปูนซีเมนต์” ก็คงเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาล ด้วยเป้าหมายระดับโลกที่ทุกภาคส่วนต้องมุ่งสู่สภาวะ Net Zero ภายในปี 2050 ภารกิจการปฏิวัติวงการก่อสร้างของ รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จึงได้เริ่มต้นขึ้น
ตลอดระยะเวลา 5 ปี เธอได้ทุ่มเทให้กับงานวิจัยในหัวข้อ “การพัฒนาคอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างที่ยั่งยืน” นวัตกรรมที่เธอพัฒนาขึ้นคือ “คอนกรีตกระตุ้นด้วยด่าง” (Alkali-activated concrete) ซึ่งหากอธิบายให้เห็นภาพ นี่คือเทคโนโลยีการสร้างคอนกรีตที่แข็งแกร่ง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์เลยแม้แต่น้อย
หัวใจสำคัญของงานวิจัยนี้ เปรียบเสมือนการเล่นแร่แปรธาตุที่เปลี่ยน “ของเหลือทิ้ง” ให้กลายเป็น “ของมีค่า” โดยการนำ “ขยะ” หรือวัสดุพลอยได้ (By-product) จากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมมาเป็นวัตถุดิบหลัก ในส่วนของ สารยึดเกาะ(Binder) ซึ่งทำหน้าที่แทนปูนซีเมนต์นั้น งานวิจัยนี้ได้หันไปใช้เถ้าลอย (Fly Ash) จากโรงไฟฟ้าหิน และเถ้าชีวมวล (Biomass Ash) เช่น เถ้าแกลบ หรือเถ้าชานอ้อย ซึ่งโดยปกติวัสดุเหล่านี้มักถูกนำไปฝังกลบ หรือถูกนำไปใช้ประโยชน์ในมูลค่าต่ำอย่างการทำปุ๋ย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของ มวลรวม (Aggregates) ซึ่งโดยทั่วไปคือหินและทราย งานวิจัยนี้ได้ปฏิเสธการขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติใหม่ แต่หันมาใช้ประโยชน์จากเศษหินแกรนิตที่เหลือทิ้งจากการย่อยหินในโรงโม่ (ซึ่งมีปริมาณมหาศาลปีละหลายล้านตัน) มาผสมผสานกับ “ขยะ” ที่เป็นปัญหาและกำจัดได้ยาก เช่น เศษยางรถยนต์ และพลาสติกรีไซเคิล
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบัน งานวิจัยนี้จะผ่านการทดสอบคุณสมบัติสำคัญในห้องปฏิบัติการ จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจและมั่นใจในประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการรับแรงและความทนทานแล้ว (ซึ่งอยู่ในระดับที่ยืนยันผลในห้องปฏิบัติการแล้ว) แต่คอนกรีตคาร์บอนต่ำชนิดนี้ก็ยังไม่สามารถถูกนำไป “ใช้งานจริง” ในโครงสร้างอาคารที่ต้องรับน้ำหนักได้ อุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นด่านสุดท้ายนี้ กลับไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิค แต่เป็น “ปมด้านกฎระเบียบ” กล่าวคือ ประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง (มอก.) สำหรับคอนกรีตประเภทนี้มารองรับโดยเฉพาะ ดังนั้น การผลักดันให้เกิดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับวัสดุใหม่นี้ จึงเป็นภารกิจต่อไปที่ท้าทายที่สุด เพื่อเปิดทางให้นวัตกรรมนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต
ภารกิจที่ 2: นักนำส่งนาโนผู้พลิกคุณค่าสมุนไพรไทย

ในขณะที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ปัญหาสุขภาพที่คืบคลานเข้ามาพร้อมกันคือวิกฤตโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ภารกิจของ ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. จึงมุ่งตอบโจทย์ท้าทายนี้
เธอชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญว่า ในกลุ่มผู้สูงอายุ กระบวนการดูดซึมยาของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับยาที่รับประทานโดยทั่วไปมักออกฤทธิ์ทั่วร่างโดยไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาขาดประสิทธิภาพ หรืออาจถูกขับออกจากร่างกายเร็วเกินไป จนนำไปสู่ความจำเป็นที่ต้องรับประทานยาหลายมื้อ
เพื่อแก้ปัญหานี้ งานวิจัยของเธอในหัวข้อ “อนุภาคนาโนดัดแปลงพื้นผิวนำส่งยาแบบมุ่งเป้าสำหรับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” ซึ่งใช้เวลาพัฒนากว่า 10 ปี ได้ออกแบบ “ระบบนำส่งยา” ขนาดจิ๋วขึ้น
นวัตกรรมนี้คือ “แคปซูลนาโน” ที่สร้างขึ้นจากไขมัน จึงมีความปลอดภัยทางชีวภาพสูง จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการ “ดัดแปลงพื้นผิว” ของอนุภาค โดยใช้เทคนิคทางเคมีและชีวโมเลกุล เพื่อให้มันทำหน้าที่เสมือน “บุรุษไปรษณีย์” ที่กักเก็บยาและนำพาไปส่งยังอวัยวะเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งเสถียรภาพของยา เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม และลดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
งานวิจัยนี้มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ แม้ว่าในช่วงแรกจะมุ่งเน้นการนำส่งยาสำหรับรักษามะเร็ง แต่ในช่วง 4-5 ปีหลัง ดร.มัตถกา ได้ปรับทิศทางของงานวิจัยครั้งสำคัญ โดยหันมาให้ความสนใจกับการใช้แพลตฟอร์มนาโนนี้ในการกักเก็บ “สารออกฤทธิ์” (Bioactive) ที่สกัดจาก สมุนไพรไทย การปรับเปลี่ยนนี้ไม่เพียงแค่เปลี่ยนวัตถุดิบ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนเป้าหมาย จากเดิมที่เน้น “การรักษา” (Treatment) ไปสู่ “เวชศาสตร์ป้องกัน” (Preventive Medicine) หรือการชะลอการเกิดโรค ซึ่งตอบโจทย์การดูแลสุขภาพคนไทยในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
ผลกระทบของงานวิจัยนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในมิติสุขภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมหาศาล ดร.มัตถกา ระบุว่า เทคโนโลยีนาโนนี้สามารถยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมุนไพรไทย โดยเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรที่เกษตรกรอาจขายได้ในราคากิโลกรัมละ 10-20 บาท ให้กลายเป็น “สารออกฤทธิ์” มาตรฐานสูง ที่มีมูลค่าพุ่งสูงถึง กิโลกรัมละ 10,000 – 100,000 บาท
ปัจจุบัน นวัตกรรมนี้กำลังก้าวไปสู่การใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม โดยในส่วนของ ผลิตภัณฑ์ยาใช้ภายนอก ซึ่งทำร่วมกับคณะแพทย์ศิริราช (เช่น การรักษาภาวะผมร่วง) กำลังอยู่ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียน ขณะที่ ผลิตภัณฑ์สำหรับรับประทาน (เช่น สูตรที่ช่วยลดไขมันช่องท้อง หรือลดน้ำตาลในเลือด) กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพดี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปีหน้า
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนาโนดังกล่าวยังมีศักยภาพในอนาคต ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการกักเก็บสารกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มที่ใช้ทดแทนยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Alternative) เพื่อช่วยในการต่อสู้กับปัญหาเชื้อดื้อยาได้อีกด้วย
ภารกิจที่ 3: นักล่าไวรัสผู้ทวงคืนอาชีพให้เกษตรกร

หากงานของ ดร.มัตถกา คือการป้องกันโรคในคน ภารกิจของ ดร.สัตวแพทย์หญิง ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. คือการหยุดยั้ง “โรคระบาด” ที่กำลังทำลายความมั่นคงทางอาหารของชาติ
โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) เปรียบเสมือนฝันร้ายของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เนื่องจากเป็นโรคไวรัสที่รุนแรง ไม่มียารักษา และยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยเพียงพอ แม้โรคนี้จะมีมานานเกือบร้อยปีแล้วก็ตาม การระบาดครั้งแรกในไทยเมื่อราว 5 ปีก่อน ได้สร้างความเสียหายอย่างย่อยยับ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้แม่สุกรเกือบ 50% หายไปจากระบบ (จากการตายหรือถูกกำจัด) และที่สำคัญคือ เกษตรกรรายเล็ก-รายย่อยกว่า 50% ต้องล้มเลิกกิจการไป หลายคนตกอยู่ในภาวะหนี้สิน และธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะไม่มั่นใจว่าจะกลับมาเลี้ยงแล้วรอดหรือไม่
งานวิจัยในหัวข้อ “การพัฒนาวัคซีนต้นแบบและแพลตฟอร์มพื้นฐานการวิจัย เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) อย่างยั่งยืนในประเทศไทย” จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรับมือวิกฤตนี้โดยตรง งานวิจัยตลอด 3-4 ปีนี้ มุ่งพัฒนา “วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” (Live-attenuated vaccine) ซึ่ง ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา อธิบายว่า เป็นเทคนิคที่ในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรับมือกับไวรัส ASF ที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง แตกต่างจากไวรัสโควิด-19 ที่เราสามารถพัฒนาวัคซีนได้ในเวลาอันสั้น เป้าประสงค์หลักในขณะนี้ ไม่ใช่การมุ่งสร้างวัคซีนเพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ระดับโลก (ซึ่งวัคซีนจากต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ก็เคยพบปัญหาในการใช้งานจริง) แต่คือการพัฒนา “วัคซีนฉุกเฉิน” ที่มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง เพื่อช่วยเหลือ “เกษตรกรรายเล็กและรายกลาง” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ล้มหายตายจากไปมากที่สุด พวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถลงทุนในระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ที่มีราคาสูงได้ วัคซีนนี้จึงเป็นความหวังที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถกลับมาเลี้ยงสุกรและประกอบอาชีพได้อีกครั้ง
ในด้านสถานะความก้าวหน้า ทีมวิจัยได้พัฒนาวัคซีนต้นแบบโดยใช้ “สายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ และได้ทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่มีการควบคุมความปลอดภัยสูงสุด (ซึ่งมีเพียงที่กรมปศุสัตว์เท่านั้น) ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า วัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ถึง 70-100% ขณะนี้ ทีมวิจัยมีข้อมูลที่เพียงพอที่จะยื่นขออนุญาตเพื่อทำการ “ทดสอบในภาคสนาม” (Field Trial) ต่อไป อย่างไรก็ตาม อุปสรรคใหญ่ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์ แต่เป็น “ข้อกฎหมาย” ของไทย ที่ยังใช้ พ.ร.บ. เดียวกันทั้งวัคซีนคนและสัตว์ ทำให้มีเกณฑ์ที่สูงและต้นทุนแพงมหาศาล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาวัคซีนสัตว์ในประเทศ
ภารกิจนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงในแง่ของสุขภาพสัตว์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงไปยัง “ความมั่นคงทางอาหาร” (Food Security) ของประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะขาดแคลนเนื้อสุกรและปัญหาราคาที่พุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องของ “ความมั่นคงทางชีวภาพ” (Biosecurity) ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อสุกรป่วยด้วย ASF ภูมิคุ้มกันจะถูกกด ทำให้เชื้อแฝงอื่นๆ โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ก่อโรคในคน สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นได้ เช่น เชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของ “โรคหูดับ” ในคน หากบริโภคเนื้อสุกรที่ป่วยและปรุงไม่สุก
ภารกิจที่ 4: นักเล่นแร่แปรธาตุพลังงานผู้ไล่ล่าความเสถียร

วิกฤติสุดท้ายที่สำคัญคือด้านพลังงาน ซึ่ง ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังท้าทายข้อจำกัดเดิม ๆ ของประเทศ ที่ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและวัตถุดิบ ด้วยงานวิจัยในหัวข้อ “การพัฒนาโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ และแบตเตอรี่ปลอดภัย ผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม…”
ดร.รงรอง ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลักของเทคโนโลยีในปัจจุบัน 2 ประการ ประการแรกคือ แผงโซลาร์เซลล์แบบซิลิกอนที่ใช้กันทั่วไป มีจุดอ่อนสำคัญเมื่อต้องทำงานในสภาพอากาศของประเทศไทย นั่นคือประสิทธิภาพจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อ “อากาศร้อน” ประการที่สองคือ แบตเตอรี่ที่ใช้กักเก็บพลังงาน มักมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเจือปน เช่น โคบอลต์ นิกเกิล หรือวาเนเดียม
นวัตกรรมส่วนแรกในงานวิจัยของเธอ ซึ่งใช้เวลาศึกษากว่า 10 ปี มุ่งเน้นไปที่วัสดุยุคใหม่อย่าง “Perovskite โซลาร์เซลล์”เหตุผลสำคัญที่เลือกวัสดุนี้คือคุณสมบัติที่ตอบโจทย์สภาพอากาศของไทยโดยตรง นั่นคือความสามารถในการทำงานได้ดีแม้ในสภาวะอุณหภูมิสูง ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการผลิตยังเหนือกว่าซิลิกอนอย่างมาก โดยสามารถใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Solution Process” (เปรียบได้กับการ ‘ปาด’ หรือ ‘พิมพ์’ ด้วยอิงค์เจ็ท) ซึ่งใช้พลังงานความร้อนต่ำเพียงประมาณ 100 องศาเซลเซียส ตรงกันข้ามกับซิลิกอนที่ต้องใช้ความร้อนสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส กระบวนการนี้ไม่เพียงทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง แต่ยังใช้วัสดุน้อยกว่าถึง 100 เท่า และสามารถขึ้นรูปบนวัสดุที่โค้งงอได้
อย่างไรก็ตาม Perovskite ยังมีจุดอ่อนสำคัญในเรื่อง “เสถียรภาพ” (Stability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับความชื้น นี่จึงเป็นโจทย์วิจัยหลักของ ดร.รงรอง ที่ต้องพัฒนา “น้ำหมึก” (สูตรสารละลาย) และสารเคลือบป้องกันชนิดใหม่ ที่ไม่เพียงแต่จะทนทาน แต่ยังต้องสามารถผลิตขึ้นรูปได้ในสภาพอากาศแบบ “ร้อนชื้น” ของประเทศไทย ไม่ใช่แค่ในห้องปฏิบัติการที่ปลอดความชื้น
การผลิตพลังงานต้องมาคู่กับการกักเก็บที่มีประสิทธิภาพ นวัตกรรมส่วนที่สองในงานวิจัยของเธอ ซึ่งใช้เวลากว่า 6-7 ปี จึงมุ่งเน้นการพัฒนาวัสดุสำหรับแบตเตอรี่ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการ “ไม่ใช้สารพิษ” เหล่านั้น เพื่อสร้างระบบพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ความท้าทายคู่ขนานที่สำคัญคือการทดสอบ ดร.รงรอง ไม่เพียงแต่ต้องพัฒนาวัสดุใหม่ แต่เธอยังต้องพัฒนา “กระบวนการทดสอบเร่ง” (Accelerated Testing) ควบคู่กันไป เพื่อจำลองการใช้งานในสภาวะต่างๆ และทำนายอายุการใช้งานของนวัตกรรมเหล่านี้ โดยไม่ต้องรอเวลาใช้งานจริง 25 ปี
เป้าหมายสูงสุดของ ดร.รงรอง นั้นชัดเจนและทรงพลัง เธอกล่าวว่า ความฝันของเธอคือ “อยากให้ทุกคนผลิตพลังงานได้เอง และมีแบตเตอรี่ให้เก็บพลังงานได้เองที่บ้าน” ซึ่งสะท้อนถึงเป้าหมายปลายทางในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
เบื้องหลังพลังขับเคลื่อน: จากแรงบันดาลใจสู่การส่งต่อพลัง
เบื้องหลังผลงานวิจัยที่ซับซ้อนและภารกิจที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คือเรื่องราวของ “แรงผลักดัน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้สตรีเหล่านี้ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายวิทยาศาสตร์ที่ท้าทาย? คำตอบนั้นมีหลากหลาย ทั้งการบ่มเพาะในครอบครัว การค้นพบตัวตนในห้องเรียน ไปจนถึงการมี “ต้นแบบ” ที่จุดประกายความฝัน
สำหรับนักวิจัยหลายท่าน วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ซึมซับมาโดยธรรมชาติผ่านสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู ดร.มัตถกา คงขาวเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นครูคณิตศาสตร์ และคุณแม่เป็นครูวิทยาศาสตร์ เธอเล่าว่าในวัยเด็กได้ติดตามพ่อแม่ไปเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ และสนุกกับการได้เห็นการทดลองที่เต็มไปด้วยสีสัน สภาพแวดล้อมนี้ทำให้เธอ “ชอบ (วิทยาศาสตร์) โดยไม่รู้ตัว” และพ่อแม่ผู้เป็น “ครูคนแรก” ได้ปลูกฝังศรัทธาในการเรียนรู้ให้เธอตั้งแต่เด็ก ในขณะที่ รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างออกไป เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ทำบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก ความตั้งใจแรกเริ่มของเธอคือการเลือกเรียนวิศวกรรมโยธา เพื่อที่จะกลับไปสานต่อธุรกิจของครอบครัวหลังจบปริญญาตรี ส่วน ดร.รงรอง เจียเจริญนั้น มีคุณพ่อเป็นวิศวกร แต่ความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ของเธอมาชัดเจนขึ้นในระดับมัธยมปลาย เธอสนุกกับวิชาฟิสิกส์ โดยเฉพาะเรื่องแสงที่สามารถหักเหและรวมแสงได้ จนได้เข้าร่วมโครงการฟิสิกส์โอลิมปิก ประกอบกับความชอบในวิชาเคมีที่โรงเรียนสอนมาอย่างดี ทำให้ทั้งหมดนำเธอมาสู่เส้นทางวัสดุศาสตร์
ในทางกลับกัน แรงผลักดันของบางคนไม่ได้มาจากวัยเด็ก แต่มาจากการ “ค้นพบ” เป้าหมายของตัวเองในจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต ดร.สัตวแพทย์หญิง ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ เรียนจบในสาขาสัตวแพทยศาสตร์ แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปีที่ 6 ของการเรียน เมื่อเธอได้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เพื่อการพัฒนาวัคซีนและชุดตรวจโรคในสัตว์ เธอตระหนักในทันทีว่า นี่คือสิ่งที่ “น่าสนใจ” และค้นพบว่าตนเองไม่ได้อยากเป็นเพียง “ผู้รักษา” (หมอ) ที่ใช้ยา แต่เธออยากเป็น “เป็นคนที่ คิด เริ่มต้น เพื่อหา แนวทางสำหรับการรักษา” แรงบันดาลใจนี้เองที่นำเธอสู่การเรียนต่อในระดับปริญญาเอกด้าน Genetic Engineering
อีกหนึ่งพลังสำคัญที่นักวิจัยสตรีหลายท่านกล่าวถึง คือการมี “ต้นแบบ” (Role Model) ที่เป็นเครื่องยืนยันว่า “ผู้หญิงก็ทำได้” ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา เผยว่า หนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของเธอคือ ดร.นิสรา (จารุณ) ที่เคยได้รับทุนวิจัยนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ในขณะที่เธอยังเป็นเด็กมัธยม การได้เห็น ดร.นิสรา ซึ่งเพิ่งจบการศึกษามาพูดถึงเทคโนโลยี Microarray ที่ล้ำสมัยในยุคนั้นผ่านรายการโทรทัศน์ ทำให้เธอรู้สึกว่าสิ่งนี้ “empower” หรือมอบพลังให้เธออย่างมาก นอกจากนี้ เธอยังชอบดูรายการเกี่ยวกับนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ และกลับมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับ ดร.มัตถกา ที่ได้รับแรงผลักดันนี้เช่นกัน เธอเล่าว่าตอนเด็กๆ เมื่อเห็นนักวิจัยรุ่นพี่ (พี่ๆ) ได้รับรางวัลนี้ ก็รู้สึกว่าพวกเขเก่งมาก และเธอยังได้รับการดูแลและเป็นที่ปรึกษา (Mentoring) จากนักวิจัยรุ่นพี่ที่เป็นศิษย์เก่าของโครงการลอรีอัลด้วย
ในวันนี้ พวกเธอไม่ได้เป็นเพียงผู้รับแรงบันดาลใจอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็นผู้ “ส่งต่อ” พลังนั้นด้วยตัวเอง รางวัลที่ได้รับจึงไม่ได้เป็นเพียงเกียรติยศส่วนตัว แต่คือการ “Empower” ที่ทำให้รู้สึกว่างานที่พวกเธอทุ่มเททำนั้น มีคนมองเห็นคุณค่า ดังที่ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า การได้รับทุนนี้ทำให้เธอมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปในงานที่ยากและต้องอาศัยการขับเคลื่อนอีกหลายด้าน นักวิจัยทั้งสี่ท่านต่างแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการส่งต่อแรงบันดาลใจนี้ไปสู่ “รุ่นน้อง” ดร.มัตถกา ตั้งใจที่จะดูแลและส่งต่อแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์หญิงรุ่นต่อไป เหมือนที่เธอเคยได้รับมาจากรุ่นพี่ เช่นเดียวกับ ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา ที่หวังว่าจะเป็น “คนต้นแบบ” ให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นน้อง เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า พลังของวิทยาศาสตร์และพลังของผู้หญิง สามารถร่วมกันขับเคลื่อนสังคมให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จากแผนที่ ‘ขนมชั้น’ สู่ GeoAI: วิสัยทัศน์ ‘แพร พันธุมวนิช’ พลิกเกมธุรกิจด้วย Location Intelligence
3 นักวิจัยสตรีรับทุนลอรีอัล รักษามะเร็ง สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงธุรกิจของก๊าซเรือนกระจก




