ในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ความท้าทายด้านสาธารณสุขที่ใหญ่หลวงที่สุดกลับไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คาดการณ์ว่าอัตราการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นทุกปี ภาพที่เราคุ้นชินคือผู้สูงอายุที่ต้องรับประทานยาจำนวนมาก บางครั้งนับสิบเม็ดต่อวัน แต่ร่างกายกลับดูดซึมยาได้น้อยลง ทำให้ต้องกินยาซ้ำ ๆ และแบกรับผลข้างเคียงที่บั่นทอนคุณภาพชีวิต
โจทย์ที่ท้าทายนี้ คือจุดเริ่มต้นของงานวิจัยกว่า 10 ปี ของ ดร.มัตถกา คงขาว หรือ ดร.กิ๊ฟ จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. เจ้าของผลงานวิจัย “อนุภาคนาโนดัดแปลงพื้นผิวนำส่งยาแบบมุ่งเป้าสำหรับการรักษาโรคติดต่อไม่เรื้อรัง” ซึ่งคว้ารางวัลนักวิจัยสตรีดาวรุ่ง L’Oréal-UNESCO “For Women in Science” นี่คือนวัตกรรมที่อาจเปลี่ยนอนาคตการดูแลสุขภาพของคนไทย จากการตั้งรับสู่การป้องกัน
ตัวนำส่งยาเทคโนโลยีจิ๋วเพื่อคุณภาพชีวิต: ทางออกสำหรับผู้ป่วย NCDs
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการรับประทานยารักษาโรคโดยทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) คือ การที่ยาออกฤทธิ์แบบทั่วร่าง (Systemic) โดยไม่จำเพาะเจาะจงต่ออวัยวะเป้าหมาย ดร.มัตถกาอธิบายว่า เมื่อรับประทานยาเข้าไป ยาจะต้องถูกดูดซึมและกระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งมักนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในอวัยวะส่วนอื่น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยาบางชนิดยังถูกร่างกายกำจัดออกไปเร็วเกินไปทำให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มักเผชิญกับ “โรคแพ็กเกจ” เช่น เป็นทั้งเบาหวาน ความดัน และไต ต้องรับประทานยาในปริมาณมาก และบ่อยครั้งต้องกินน้ำหลาย ๆ มื้อทุกวัน ซึ่งเป็นภาระอย่างยิ่ง

เพื่อแก้ปัญหานี้ งานวิจัยของ ดร.มัตถกา จึงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี “นาโนเอนแคปซูเลชัน” (Nano-encapsulation) ซึ่งเปรียบเสมือนยานพาหนะขนาดจิ๋วที่จะนำยาไปส่งยังเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ อนุภาคนาโนนี้ถูกออกแบบจากไขมัน (Lipid nanoparticles) ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูงต่อร่างกาย
กระบวนการนี้คือการนำยาไปกักเก็บไว้ภายในอนุภาคนาโน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มเสถียรภาพของยาและเพิ่มการดูดซึมเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญคือความสามารถในการดัดแปลงพื้นผิว (Surface modification) ของอนุภาค
ดร.มัตถกา อธิบายโดยยกตัวอย่าง ยามุ่งเป้าสำหรับรักษามะเร็ง ว่า สามารถใช้เทคนิคทางเคมีหรือชีวะโมเลกุลติดตั้งตัวบ่งชี้ที่จำเพาะเจาะจง ทำให้อนุภาคนาโนนี้เดินทางไปจับเฉพาะเซลล์มะเร็งหรืออวัยวะเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเมื่อยาถูกส่งตรงจุด ผลข้างเคียงต่อเซลล์ปกติส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็จะลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลลัพธ์ที่ได้คือการปฏิวัติคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย “เราอาจจะไม่ต้องกินยา 100% อาจจะกินแค่ 1 เม็ด แต่สามารถที่จะครอบคลุมระยะเวลาหรือว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาได้นานขึ้น” ดร.มัตถกา กล่าว นี่คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดปริมาณการใช้ยาโดยรวม ลดผลข้างเคียง และแก้ไขปัญหาใหญ่สำหรับผู้สูงอายุที่มักลืมกินยา ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับ ดร.มัตถกา งานวิจัยนี้มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าหน้าที่ทางวิชาการ เพราะเธอมีแรงผลักดันส่วนตัวจากประสบการณ์ตรงในครอบครัว “โดยตัวของกิ๊ฟเอง พ่อแม่ก็เป็น NCD ด้วย ก็เลยเห็นว่า Point ของการเป็นโรคนี้ การกินยาของเขาทุก ๆ วัน… ถ้าลืมกิน มันก็มีอันตรายกับเขา” ความเข้าใจในความยากลำบากของผู้ป่วยและผู้ดูแลนี้เอง คือพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เธอทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมนี้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ต่อยอดสมุนไพรไทยสร้างมูลค่าจากระดับสิบสู่หลักแสน
แม้ว่างานวิจัยระบบนำส่งยาของดร.มัตถกา จะเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีก่อน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบนำส่งยาแบบมุ่งเป้าสำหรับรักษาโรคมะเร็ง แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยได้เล็งเห็นถึงความท้าทายในการแข่งขันระดับสากลที่ต้องใช้เวลาพัฒนานาน จึงได้ปรับทิศทางเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ โดยนำแพลตฟอร์มนาโนเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้กับภารกิจที่สอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศ นั่นคือการยกระดับสมุนไพรไทย
ดร.มัตถกา ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรสมุนไพรชั้นเลิศ (Thai Medicinal Herb) ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive) ที่มีประสิทธิภาพใช้ได้จริง แต่ศักยภาพนี้กลับถูกจำกัดด้วยทัศนคติของผู้บริโภค
ปัญหาหลักเกิดจากผลิตภัณฑ์สมุนไพรในท้องตลาดปัจจุบัน อาจจะยังไม่ได้มาตรฐาน สารสกัดหลายชนิดยังมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น การละลายน้ำได้น้อย หรือมีสีและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ยากต่อการนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าใช้
พันธกิจของนาโนเทคจึงเป็นการเข้ามาทำให้สมุนไพรมีมาตรฐาน โดยการใช้เทคโนโลยี “นาโนเอนแคปซูเลชัน” (Nano-encapsulation) เข้ามากักเก็บสารสกัดเหล่านั้น เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการละลายน้ำ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารสกัด และเพิ่มการดูดซึม
ผลลัพธ์คือการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) อย่างก้าวกระโดด ดร.มัตถกา อธิบายภาพที่ชัดเจนว่า “จากเมื่อก่อนที่เกษตรกรขายแค่ผลผลิตทางการเกษตรที่กิโลละ 10 บาท 20 บาท พอใช้นวัตกรรมนี้ ทำให้มันเป็นสแตนดาร์ด และเป็น Active ingredient หรือสารออกฤทธิ์มาตรฐาน เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้มันเป็นกิโลละแบบ 10,000-100,000 บาทได้”
นวัตกรรมนี้สร้างผลกระทบเชิงบวกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยในส่วนของต้นน้ำ นาโนเทคควบคุมมาตรฐานการผลิตไปถึงแหล่งปลูก ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรโดยตรง
ในส่วนของกลางน้ำ คือกลุ่มผู้ประกอบการ ภารกิจของนาโนเทคคือการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมของคนไทยนี้ ให้กับบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเวชสำอาง (Cosmeceutical) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Supplement) หรือเครื่องสำอาง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือความสำเร็จของสารสกัดกระชายดำ (Black Galingale) ซึ่งมีสมญานามว่า “กัญชงไทย” (Thai Ginseng) ทีมวิจัยได้พัฒนาสารสกัดมาตรฐานและใช้นาโนเทคโนโลยีแก้ปัญหาการละลายน้ำ ปัจจุบัน นวัตกรรมสารสกัดกระชายดำนี้ได้ถูกนำไปใช้ในกลุ่มเวชสำอาง และได้ถ่ายทอดอนุสิทธิให้กับภาคเอกชน ซึ่งส่งออกไปต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นโมเดลความสำเร็จที่จับต้องได้ของการนำงานวิจัยสู่การใช้งานจริง
บทพิสูจน์ข้ามศาสตร์: จาก ‘ดีเทลยา’ สู่การยอมรับในวงการแพทย์
เบื้องหลังความสำเร็จในห้องปฏิบัติการ คือความท้าทายในการทำงานข้ามศาสตร์ (Cross-functional) ดร.มัตถกาผู้เติบโตในครอบครัวครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ แม้จะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านเคมี (ปริญญาตรี) นาโนแมทีเรียล (ปริญญาโท) และการแพทย์ระดับโมเลกุล (ปริญญาเอก) เธอก็ตระหนักดีว่านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์จะไร้ความหมาย หากไม่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้จริงในวงการแพทย์
การเป็นนักวิจัยตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเดินเข้าสู่แผนกแพทย์ เพื่อสร้างความร่วมมือกับอาจารย์หมอผู้ทรงคุณวุฒิ ถือเป็นกำแพงที่สูงชันในอดีต เธอเล่าถึงประสบการณ์ที่ต้องฝ่าฟันอคติเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
“ตอนนั้นจบมาใหม่ ๆ อายุแบบยังน้อย ๆ อยู่ เข้าไปปุ๊บ ขอพบอาจารย์หมอ พนักงานต้อนรับบอกว่า อาจารย์ไม่อยู่ค่ะ ก็คือทำหน้าแบบเหวี่ยงใส่ว่า สงสัยคิดว่าเป็นดีเทลยา (ตัวแทนบริษัทยา)”
เธอยอมรับว่าเหตุการณ์เช่นนี้โดนบ่อยมาก และบรรยากาศจะเปลี่ยนไปทันทีที่เธอชี้แจงสถานะว่า “พอดีนัดคุณหมอมาค่ะ จะคุยเรื่องงานวิจัย” พนักงานต้อนรับก็จะเปลี่ยนเสียงเป็น “อ๋อ อาจารย์หรอคะ ได้ค่ะ”
การสร้างความเชื่อมั่นนี้ต้องอาศัยเวลาและความมุ่งมั่นอย่างสูง ดร.มัตถกา ใช้เวลาถึง 5 ปี ในการทำงานร่วมกับคณะแพทย์ ศิริราชพยาบาล เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ตัวแรก ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอกสำหรับรักษาภาวะผมร่วงตามวัย (ที่เกิดจากฮอร์โมน) ปัจจุบัน งานวิจัยชิ้นนั้นทำสำเร็จแล้ว ผ่านการทดสอบในคลินิก และกำลังขึ้นทะเบียนเพื่อขายในโรงพยาบาลศิริราชอยู่
ความสำเร็จดังกล่าวได้เปิดประตูสู่ความร่วมมือในโครงการที่ท้าทายยิ่งขึ้น ขณะนี้ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรับประทาน ที่ใช้สารสกัดสมุนไพร (Bioactive) สำหรับกลุ่ม NCDs เช่น การชะลอและลดไขมันช่องท้อง หรือลดไขมันในเลือด กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพดี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2026
เป้าหมายสูงสุด: เวชศาสตร์ป้องกันเพื่อคนไทย
สำหรับ ดร.มัตถกา เป้าหมายสูงสุดของเธอไม่ได้หยุดอยู่ที่การรักษา แต่คือปรัชญาที่ชัดเจนว่า การป้องกันดีกว่าการรักษา เธอย้ำว่าการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรค ดีกว่าการรักษา และง่ายกว่าการรักษาด้วย
“Ultimate goal คือ อยากให้มันไปใช้ในเชิงของเวชศาสตร์ป้องกันมากกว่า ไม่ให้เกิดโรค อยากเห็นนวัตกรรมอันนี้ไปสู่คนไทยจะได้ใช้จริง ให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น” ดร.มัตถกา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
4 นักวิจัยหญิงไทยคว้ารางวัล ‘ลอรีอัล’ ชู 4 นวัตกรรมแก้โจทย์ใหญ่ประเทศ
ซิกเว่ เบรกเก้ ชี้ ‘สูตร 3Ps’ พลิกเกมดิจิทัลไทย สู่ผู้นำ AI อาเซียน




