Share on
×

Share

ตลท. พลิก ‘ภาระ’ คาร์บอนเป็น ‘สินทรัพย์’ ด้วย SETCarbon มาตรฐานอบก.

ตลท. พลิก 'ภาระ' คาร์บอนเป็น 'สินทรัพย์' ด้วย SETCarbon มาตรฐานอบก.

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้บรรลุหมุดหมายสำคัญในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เมื่อ SETCarbon แพลตฟอร์มดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือกลางในการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างเป็นทางการจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในฐานะ “แพลตฟอร์มการรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร”

ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เน้นย้ำว่า การรับรองนี้มิใช่เป็นเพียงตราประทับรับรองคุณภาพ แต่คือการยืนยันว่ากระบวนการคำนวณของ SETCarbon ทั้งหมด สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้ง GHG Protocol และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนใหม่อย่าง ISSB (IFRS S2) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกอุปสรรคที่ฝังลึกของภาคธุรกิจไทย

นี่คือก้าวสำคัญในการเปลี่ยนข้อมูลคาร์บอนจาก ภาระ ที่ทั้งแพงและยาก ให้กลายเป็น พาสปอร์ต สู่โอกาสทางการเงินสีเขียว และวางรากฐานสู่ “ฐานข้อมูลคาร์บอนกลาง” (Anchor Dataset) ของประเทศ

เจาะลึกอุปสรรคแพงและยาก“: ต้นทุนที่แท้จริงของภาคธุรกิจ

อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางภาคธุรกิจไทยในการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ไม่ได้เกิดจากความไม่เข้าใจในหลักการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนออกมาเป็นต้นทุนที่สามารถวัดผลได้จริง

ศรพล ตุลยะเสถียร

คุณศรพล ได้ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่ฝังลึก (Pain Point) ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการตั้งคำถามที่ชวนให้คิดว่า “ถ้าคุณมีตัวเลขทางการเงินที่ผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) ยังไม่เซ็นรับรอง คุณจะใช้ตัวเลขนั้นหรือไม่”

สถานการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจน ในปี 2565 (ข้อมูลปี 65) มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพียง 182 แห่ง จากกว่า 800 แห่ง ที่มีข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นต์ที่ผ่านการทวนสอบโดยบุคคลที่สาม (Third Party Verify) แม้ตัวเลขล่าสุดในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 332 บริษัท แต่ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 36% ของ บจ. ทั้งหมด

ช่องว่างขนาดมหึมานี้ เกิดจากกำแพงที่ “แพงและยาก” ข้อมูลสำรวจจากตลท. ชี้ว่า

  • ต้นทุนสูง (แพง): ภาคธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการทำรายงาน GHG สูงถึง 460,000 บาทต่อบริษัทต่อปี (สูงสุดถึง 5 ล้านบาท) โดยส่วนใหญ่มาจากการที่ต้องพึ่งพาที่ปรึกษาภายนอก
  • กระบวนการซับซ้อน (ยาก): ต้องใช้กำลังคน (Man-days) โดยเฉลี่ยมากถึง 94 วันทำการต่อบริษัทต่อปี เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำรายงาน

ข้อมูลที่ “ไม่ถูกทวนสอบ” นั้น ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของนักลงทุนและสถาบันการเงิน ทำให้ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดได้เต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน, การยื่นขอสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) หรือการวัดความก้าวหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ขององค์กรอย่างแท้จริง

“พาสปอร์ต” สู่แหล่งทุนสีเขียว (Climate Finance): กลไกเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจ

SETCarbon ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเพียง เครื่องคิดเลขคาร์บอน แต่ถูกวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ให้เป็น โซลูชั่นเพื่อ Climate Finance โดยตรง

คุณศรพล อธิบายว่า หัวใจสำคัญของแพลตฟอร์มนี้ คือการสร้างแรงจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนข้อมูลคาร์บอนจากภาระ ให้กลายเป็นโอกาส ผ่านกลไก “Win-Win-Win” (3 วิน) ที่เชื่อมโยงผู้เล่นหลัก 3 ส่วนในระบบนิเวศเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน

  1. ผู้ประกอบการ (SMEs และ Supply Chain): สำหรับกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) หรือบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Non-บจ.) เมื่อใช้แพลตฟอร์มนี้ (ซึ่งมักจะเข้าถึงผ่านธนาคารพันธมิตร เช่น TTB และ EXIM Bank ) พวกเขาจะสามารถจัดทำข้อมูล GHG ที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ข้อมูลนี้จะทำหน้าที่เสมือน พาสปอร์ตทางธุรกิจ ที่พวกเขาสามารถนำไปยื่นต่อสถาบันการเงิน เพื่อเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า
  2. สถาบันการเงิน (ธนาคาร): ในฝั่งของธนาคาร จะได้รับข้อมูลคาร์บอนของลูกค้าที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้สามารถประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) ของลูกค้า และนำไปใช้พิจารณาออกผลิตภัณฑ์ Climate Finance ได้อย่างมั่นใจ ที่สำคัญ ธนาคารยังได้ข้อมูลนี้ไปใช้คำนวณ “Finance Emission” (การปล่อยคาร์บอนจากพอร์ตสินเชื่อ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Scope 3 ของธนาคารเอง
  3. บริษัทจดทะเบียน (บจ.): สำหรับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ (บจ.) ประโยชน์ที่ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อห่วงโซ่อุปทานของตนเป็นสีเขียวและสามารถวัดผลได้ การที่ บจ. ผลักดันให้คู่ค้า SMEs ของตนใช้ SETCarbon จะทำให้ บจ. ได้รับข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการคำนวณคาร์บอน Scope 3 ของ บจ. เอง

การที่ SETCarbon ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก อบก. จึงเป็นเครื่องตอกย้ำความน่าเชื่อถือของพาสปอร์ตเล่มนี้ในระดับสากล เพราะเป็นการยืนยันว่าแพลตฟอร์มนี้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกอย่าง GHG Protocol และ ISSB S2 (IFRS S2) ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญที่ ก.ล.ต. จะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทกลุ่ม SET50 โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2569 (FY2026) เพื่อรายงานในปี 2570 (2027)

มากกว่าเครื่องคิดเลขสู่การจัดการข้อมูลคาร์บอนแบบครบวงจร

จุดเด่นที่ทำให้ SETCarbon มีความแตกต่างอย่างชัดเจน และเป็นหนึ่งใน 7 องค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อบก. คือการเป็นระบบจัดการข้อมูลแบบ End-to-End Solution ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา “ความยาก” ในการดำเนินงานจริงของภาคธุรกิจ

โดยระบบนี้ได้รวมกระบวนการที่ซับซ้อนให้จบภายในแพลตฟอร์มเดียว ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล, การคำนวณและวิเคราะห์ ไปจนถึงการรายงานผล ดังนี้

  • Template สำเร็จรูปรายอุตสาหกรรม: นี่คือจุดแข็งที่สำคัญที่สุด ระบบมี “เทมเพลทข้อมูลกิจกรรมก๊าซเรือนกระจกรายอุตสาหกรรม” ที่ออกแบบมาเฉพาะ ช่วยลดภาระในการตีความมาตรฐาน ทำให้บริษัทที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญโดยตรง สามารถเริ่มต้นจัดเก็บข้อมูลได้อย่างถูกต้องและง่ายขึ้นมหาศาล
  • การทวนสอบบนระบบ (On-system Verification): SETCarbon ได้ปฏิวัติกระบวนการที่ยุ่งยากในอดีต ที่บริษัทต้องรวบรวม “แฟ้มเอกสารเป็นตั้งๆ” โดยแพลตฟอร์มนี้ได้รวบรวมรายชื่อผู้ทวนสอบ (Verifier) ที่ได้รับการรับรองจาก อบก. (ปัจจุบันมี 16 ราย) ให้บริษัทสามารถเลือกใช้บริการ และผู้ทวนสอบสามารถล็อกอินเข้ามาตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่อัปโหลดไว้บนระบบได้โดยตรง
  • เชื่อมโยงข้อมูลสู่การรายงาน: หลังจากข้อมูลถูกทวนสอบแล้ว ระบบถูกออกแบบให้เชื่อมโยงข้อมูลไปยังสองปลายทางสำคัญ คือ ระบบ e-One Report ของ ตลท. เพื่อการปฏิบัติตามเกณฑ์ (Compliance) และระบบ SETSMART เพื่อให้นักลงทุนและผู้จัดการกองทุน สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน

ผลลัพธ์ของการออกแบบที่ตอบโจทย์นี้ สะท้อนผ่านการยอมรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568) มีบริษัทที่เข้าใช้งานระบบ (Active Users) แล้วถึง 299 บริษัท

ก้าวต่อไป: วางรากฐานฐานข้อมูลคาร์บอนกลางของประเทศ

วิสัยทัศน์ของ ตลท. ที่มีต่อ SETCarbon นั้น ก้าวข้ามการเป็นเพียงบริการเสริมสำหรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่เป็นการวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่า นั่นคือการผลักดันให้ SETCarbon ทำหน้าที่เป็น “กลไกสำคัญในการพัฒนา ‘ฐานข้อมูลคาร์บอนกลาง’ (Anchor Dataset) ของประเทศ”

เป้าหมายนี้คือการสร้างมาตรฐานข้อมูลเดียวกัน (Single Standard) ให้ทุกภาคส่วนสามารถใช้อ้างอิงได้ ยกระดับแพลตฟอร์มนี้จากการเป็นเครื่องมือ สู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” (Digital Infrastructure) ที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตลท. ได้วางแผนพัฒนาต่อยอดระบบในระยะถัดไปอย่างชัดเจน ได้แก่:

  • พัฒนาการคำนวณ Emission Scope 3 เพื่อรองรับการประเมินคาร์บอนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
  • พัฒนา Dashboard อัจฉริยะ (Smart Dashboard) เพื่อติดตามผลการลดคาร์บอนเทียบกับ “เป้าหมายทางการเงิน”
  • พัฒนา Carbon Data API เพื่อเปิดให้ระบบสามารถเชื่อมต่อกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (กรม Climate Change) เพื่อรองรับ พ.ร.บ. Climate Change ในอนาคต
  • นำ AI มาใช้วิเคราะห์ข้อมูล GHG เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ

การเปิดตัว SETCarbon ที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจาก อบก. ในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการแจกเครื่องมือเพื่อลดภาระงานของภาคธุรกิจ แต่คือยุทธศาสตร์การวาง “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของตลาดทุนไทย” ที่จะเปลี่ยนสถานะของข้อมูลคาร์บอน จากที่เคยเป็นเพียงต้นทุนที่น่าปวดหัว (ดังที่สะท้อนจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 460,000 บาท/ปี ) ให้กลายเป็น สินทรัพย์ (Asset) ชิ้นสำคัญ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ทรู ผนึก ทีทีบี-พันธวณิช เปิดตัว ‘Green Finance’ ครั้งแรกในเอเชีย ปั้นซัพพลายเชนสีเขียว

กสิกรไทย นำร่อง ‘Carbon Credit Tokenization’ ครั้งแรกในไทย ภายใต้ Sandbox แบงก์ชาติ

×

Share

ผู้เขียน