หากพิจารณาเพียงผิวเผินผ่านตัวเลขสถิติตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) ประจำปี 2025 อาจสร้างความฉงนให้กับนักลงทุนและผู้สังเกตการณ์ไม่น้อย เนื่องจากจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ (Number of IPOs) ปรับตัวลดลง ซึ่งอาจถูกตีความได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจากงานแถลงข่าว “Southeast Asia IPO Press Conference 2025” ซึ่งจัดขึ้นโดย Deloitte เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้อมูลเชิงลึกกลับ เผยให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจในทิศทางตรงกันข้าม
ความจริงที่ปรากฏคือ ภายใต้จำนวนดีลที่ลดลง กลับมีกระแสเงินทุนมหาศาลไหลเวียนอยู่ในระบบ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดทุนของภูมิภาคกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะ “การคัดกรอง” (Screening) อย่างเข้มข้นตามกลไกธรรมชาติ เพื่อเปลี่ยนผ่านจากยุคที่เน้น “ปริมาณ” การเข้าตลาด มาสู่ยุคที่ “คุณภาพและขนาด” ของกิจการเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน
ปรากฏการณ์ “Fewer but Larger”: สภาวะดีลหดตัวแต่เม็ดเงินสะพัดสวนกระแส
หนึ่งในปรากฏการณ์ที่โดดเด่นและน่าจับตามองที่สุดของตลาดทุนในปีนี้ คือสภาวะที่เรียกว่า “Fewer but Larger” ซึ่งสะท้อนภาพความย้อนแย้งที่น่าสนใจระหว่าง “จำนวน” และ “มูลค่า” กล่าวคือ แม้จำนวนบริษัทที่ตบเท้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะลดน้อยลง แต่เม็ดเงินระดมทุนโดยรวมกลับเติบโตสวนทางขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สถิติที่ขัดแย้งแต่แฝงความหมาย: จากการรวบรวมข้อมูลในช่วง 10 เดือนครึ่งแรกของปี 2025 พบว่า ทั่วทั้งภูมิภาคมีบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO) เพียง 102 แห่ง ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีถึง 136 แห่ง สถิตินี้หากมองเพียงผิวเผินอาจชวนให้เข้าใจว่าตลาดกำลังซบเซา
การเติบโตของเม็ดเงินลงทุน: ทว่าในความเป็นจริง มูลค่าการระดมทุนรวมกลับพุ่งทะยานแตะระดับ 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 53% เมื่อเทียบกับปี 2024 ที่ทำได้เพียง 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สภาพคล่องและเม็ดเงินลงทุนในระบบยังคงมีอยู่อย่างมหาศาล เพียงแต่มีการเปลี่ยนทิศทางการไหลเวียน
เทย์ ฮวี ลิง (Tay Hwee Ling) ผู้นำบริการด้านตลาดทุนของ Deloitte Southeast Asia ได้วิเคราะห์ถึงแก่นของปรากฏการณ์นี้ว่า “แนวโน้มของภูมิภาคในปี 2025 ชี้ไปที่การฟื้นตัวที่ยึดโยงกับ ‘มูลค่า’ (Value) เป็นหลัก ตลาดในปีนี้มีลักษณะเฉพาะตัวคือจำนวนดีลที่น้อยลง แต่ขนาดของดีลใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (Fewer but significantly larger deals) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มกลับมามองหาโอกาสในภูมิภาคนี้อีกครั้ง”
นัยสำคัญทางเศรษฐกิจและการปรับฐานความต้องการนี้ บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ตลาดทุนไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย แต่กำลังเกิดการ “ปรับฐานความต้องการ” (Repositioning) ครั้งสำคัญ โดยนักลงทุน ทั้งรายย่อยและสถาบัน หันมาให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” กล่าวคือ ตลาดพร้อมที่จะเทเงินลงทุนให้กับบริษัทที่มี “ขนาดใหญ่” (Market Cap สูง) และมี “ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง” เท่านั้น
สิ่งนี้สะท้อนได้จาก มูลค่าการระดมทุนเฉลี่ยต่อดีล (Average Deal Size) ที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัว จากเดิมเฉลี่ยที่ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 พุ่งขึ้นเป็น 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้น การกลับมาของดีลยักษ์ใหญ่ระดับ “Blockbuster” (ที่มีมูลค่าระดมทุนเกิน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จำนวนถึง 4 ดีล ยังเป็นสัญญาณบวกที่ยืนยันว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันและศักยภาพในการรองรับดีลขนาดใหญ่ของตลาดภูมิภาคนี้ยังคงแข็งแกร่งอยู่
เจาะลึกพลวัตรายประเทศ: การกลับมาของ “ยักษ์ใหญ่” และการผงาดของ “ม้ามืด”
เมื่อพิจารณาการขยายตัวของเม็ดเงินระดมทุนในปีนี้ จะพบว่าการเติบโตไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะกระจายตัว (Broad-based) อย่างที่เคยเป็นมา แต่กลับมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจาก “จุดแข็งเฉพาะตัว” ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและกลยุทธ์ที่แต่ละตลาดกำลังดำเนินอยู่ ดังนี้
1. สิงคโปร์ (The Value Leader): การทวงคืนบัลลังก์ผู้นำด้วยสินทรัพย์ความมั่นคงสูง ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการฟื้นตัวอย่างสง่างามของสิงคโปร์ ที่สามารถทวงคืนสถานะ “ผู้นำด้านมูลค่าการระดมทุน” กลับมาได้สำเร็จ โดยสามารถระดมเม็ดเงินรวมได้สูงถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2019
ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญไม่ได้มาจากกระแสเทคโนโลยีที่หวือหวา แต่กลับเป็นการฟื้นตัวของรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่ม ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) โดยมีดีลสำคัญที่เป็นหัวหอกอย่าง NTT DC REIT และ Centurion Accommodation REIT การกลับมาได้รับความนิยมของ REITs นี้ สะท้อนนัยสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ว่า ท่ามกลางสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยโลกเริ่มส่งสัญญาณทรงตัว นักลงทุนสถาบันยังคงโหยหาสินทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็น “หลุมหลบภัย” ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่สม่ำเสมอและมีความผันผวนต่ำ
เทย์ ฮวี ลิง ได้ขยายความถึงเบื้องหลังความสำเร็จนี้ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของสิงคโปร์คือการได้รับการสนับสนุนจากการปฏิรูปกฎระเบียบและตลาด (Regulatory and Market Reforms) ควบคู่ไปกับการมีบริษัทขนาดใหญ่ (Large-cap listings) เข้ามาจดทะเบียน สิ่งเหล่านี้ส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ฟื้นคืนมา ข้อเสนอแนะจากกลุ่มทบทวนตลาดทุนของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ที่มุ่งเน้นการยกระดับสู่ระบอบการกำกับดูแลที่เน้นการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure-based regime) ให้สอดคล้องกับตลาดพัฒนาแล้ว จะช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องและตอกย้ำตำแหน่งของ SGX ในฐานะผู้นำการฟื้นตัวของตลาดทุนอาเซียน
2. เวียดนาม (The Rising Star): ม้ามืดแห่งปีที่สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยภาคการเงิน ไฮไลต์ที่สร้างความประหลาดใจที่สุดในปีนี้ ตกเป็นของ “เวียดนาม” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นม้ามืดด้วยการสร้างมูลค่าการระดมทุนรวมกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแรงส่งสำคัญไม่ได้มาจากภาคการผลิตหรืออุตสาหกรรมดั้งเดิม แต่มาจากภาค บริการทางการเงิน (Financial Services)
ดีลยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทหลักทรัพย์ Techcom Securities และ VPBank Securities ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันตัวเลขนี้ ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเติบโตสอดรับกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ที่ทะยานขึ้นจากระดับ 1,200 จุด สู่ 1,600 จุด ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโครงสร้างเศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังยกระดับสู่มาตรฐานสากล และความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินภายในประเทศที่พร้อมจะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่
ทรินห์ บุ่ย (Trinh Bui) หุ้นส่วนบริการด้านตลาดทุนของ Deloitte Vietnam ให้มุมมองที่ลึกซึ้งว่า ตลาด IPO ของเวียดนามกำลังก้าวเข้าสู่ วัฏจักรใหม่ (New Cycle) ที่เต็มไปด้วย Pipeline ของดีลคุณภาพสูง ทั้งในกลุ่มการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี การฟื้นตัวนี้ขับเคลื่อนโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง และนโยบายการเงินที่เอื้ออำนวย หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการปฏิรูปกฎระเบียบขนานใหญ่ของรัฐบาลเพื่อยกระดับความโปร่งใส ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ และวางตำแหน่งให้เวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าดึงดูดที่สุดในเอเชีย
3. มาเลเซีย (The Volume Leader): ฐานที่มั่นแข็งแกร่งของ SME ในขณะที่เพื่อนบ้านเน้นดีลขนาดใหญ่ระดับพันล้าน มาเลเซียกลับเลือกเดินเกมที่แตกต่างด้วยการรักษาตำแหน่ง “แชมป์ด้านจำนวน” (Volume) ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอด IPO สูงสุดถึง 48 บริษัท และคาดการณ์ว่าจะแตะระดับ 60 บริษัทภายในสิ้นปี
ความคึกคักนี้กระจุกตัวอยู่อย่างหนาแน่นในตลาด ACE Market ซึ่งเป็นตลาดสำหรับบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลสัมฤทธิ์จากระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยและนโยบายเชิงรุกของภาครัฐ โดยเฉพาะการปรับลดขั้นตอนและระยะเวลาการอนุมัติ IPO ให้เหลือเพียง 3 เดือน ทำให้มาเลเซียกลายเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่ต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดในภูมิภาค
หว่อง คาร์ ชูน (Wong Kar Choon) หุ้นส่วนบริการด้านตลาดทุนของ Deloitte Malaysia อธิบายถึงความแข็งแกร่งนี้ว่า Pipeline ของมาเลเซียมีความหลากหลาย (Diverse) อย่างมาก ครอบคลุมทั้งกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และพลังงาน แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่บริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งยังคงเป็นแกนหลักของตลาดมาเลเซีย ตลาด IPO ของเราในปี 2025 มีเอกลักษณ์ที่ความหลากหลายของกลุ่มอุตสาหกรรม และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่สนับสนุน (Supportive Regulatory Environment) ทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางตลาดทุนที่มีความยืดหยุ่นและน่าดึงดูดในภูมิภาค
เจาะลึกประเทศไทย: ปีแห่งบททดสอบและความหวังใหม่จากดีลใหญ่
สำหรับประเทศไทย ปี 2025 นับเป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยสถิติแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของจำนวนและมูลค่าการระดมทุน โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่เพียง 17 แห่ง และระดมทุนรวมได้ 361 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 15 พ.ย. 2025) ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานเมื่อเทียบกับอดีตที่ไทยเคยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค
ปัจจัยกดดัน (Headwinds): แรงฉุดรั้งสำคัญในปีนี้มาจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง (Political Uncertainty) และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและบรรยากาศการลงทุนโดยรวม
แสงสว่างปลายอุโมงค์: อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายยังมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยพยุงภาพรวมของตลาดไว้ได้ นั่นคือความสำเร็จของดีลใหญ่อย่าง Mr. DIY Holding (Thailand) ที่สามารถระดมทุนได้ถึง 174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดีลนี้เปรียบเสมือน “หลักฐาน” ที่ยืนยันว่า กิจการที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ยังคงสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ แม้ในยามที่ตลาดผันผวน
ก้าวต่อไปของการฟื้นฟู: สิ่งที่น่าจับตาคือความพยายามเชิงรุกของหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็น ก.ล.ต. หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ผนึกกำลังภาคเอกชนผ่านโครงการ “Thai Capital Market Attractiveness Initiative” เพื่อเร่งกอบกู้ความเชื่อมั่นและยกระดับตลาดทุนไทยให้กลับมาเป็นศูนย์กลางการระดมทุนที่น่าสนใจอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่บริษัทไทยที่มีศักยภาพสูงเริ่มมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศ (Cross-border Listings) เช่นกรณีของ IFBH Ltd. ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจไทยที่ก้าวข้ามข้อจำกัดในประเทศ
การก้าวสู่“วุฒิภาวะ” และบรรทัดฐานใหม่ของตลาดทุน (Maturation of the Market)
ภาพรวมของตลาด IPO อาเซียนในปี 2025 ไม่ใช่ภาพของการชะลอตัว แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนในภูมิภาคนี้กำลังยกระดับขึ้นสู่ภาวะที่มี “วุฒิภาวะ” (Maturity) สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลไกของตลาดได้เปลี่ยนผ่านจากการให้น้ำหนักกับตัวเลข “ปริมาณ” บริษัทที่เข้าจดทะเบียน มาสู่การพินิจพิเคราะห์ที่ “เนื้อแท้และคุณภาพ” ของกิจการเป็นที่ตั้ง
ในบริบทใหม่นี้ นักลงทุนสถาบันและตลาดโดยรวมได้หันมาให้มูลค่า (Valuation) สูงสุดกับบริษัทที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ทั้งในด้านคุณภาพของสินทรัพย์ ความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจที่ทนทานต่อความผันผวน และขนาดของกิจการที่ใหญ่เพียงพอจะรองรับเม็ดเงินลงทุนระดับสากลได้
เทย์ ฮวี ลิง กล่าวสรุปทิ้งท้ายถึงทิศทางในอนาคตไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อสภาวะตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น ผู้ประกอบการที่ต้องการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน (IPO Aspirants) ต่างกำลังเฝ้าจับตามองตลาดทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างมูลค่าสูงสุด (Maximise Valuations) และตอบสนองความต้องการสภาพคล่องที่อัดอั้นอยู่ของนักลงทุน
สำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการ นี่ไม่ใช่สัญญาณเตือนภัยของการถดถอย แต่เป็น “สัญญาณแห่งความจริง” (Reality Check) ที่ตอกย้ำว่า ประตูสู่ระดมทุนในตลาดสาธารณะยังคงเปิดกว้างเสมอสำหรับผู้ที่มีความพร้อม ทว่ากุญแจดอกสำคัญที่จะไขผ่านประตูบานนี้เข้าไปได้ในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ความรวดเร็วฉาบฉวยหรือการสร้างกระแสการตลาด แต่คือ “คุณภาพระดับของจริง” ที่ต้องพิสูจน์ได้ด้วยผลประกอบการที่จับต้องได้ (Strong Fundamentals) และมาตรฐานธรรมาภิบาลที่โปร่งใสเท่านั้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Uniswap บุกไทย ชู ‘การศึกษา DeFi’ ภารกิจหลักสร้างรากฐานยั่งยืนไม่เน้นเก็งกำไร
Accenture ชี้ AI เปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าทักษะพนักงานจะตามทัน




