Share on
×

Share

ดร.ธนชาติ ชี้ AI คือ ‘ฝิ่นยุคใหม่’ แนะไทยเร่ง ‘สร้างคน’ ฝ่ากับดักความสะดวกสบาย

ดร.ธนชาติ ชี้ AI คือ 'ฝิ่นยุคใหม่' แนะไทยเร่ง 'สร้างคน' ฝ่ากับดักความสะดวกสบาย

เมื่อความสะดวกสบายจาก AI เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่อาจทำให้เราเผลอ “ลดทอนศักยภาพตัวเอง” และ “มองข้ามความปลอดภัยของข้อมูล” ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ แนะทางออกเชิงสร้างสรรค์ ดันวาระผู้นำเร่งสร้าง “คน” ให้ฉลาดใช้เทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนวิกฤติพึ่งพาให้เป็นโอกาสในการพัฒนาชาติ

ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างสีสันให้ชีวิตประจำวัน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่มาพร้อมกับ “กับดักความสะดวกสบาย” ซึ่งหากเราเพลิดเพลินจนขาดความระมัดระวัง สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้อาจกลายเป็นจุดเปราะบางที่กระทบต่อความมั่นคงของสังคมโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว

ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute) ได้สะท้อนมุมมองชวนคิดผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ โดยเปรียบเทียบปรากฏการณ์นี้ว่ามีความคล้ายคลึงกับบทเรียนในหน้าประวัติศาสตร์อย่าง “สงครามฝิ่น” (Opium War) ในแง่ของ “ผลกระทบจากการเสพติดความสบาย” กล่าวคือ ความน่ากลัวอาจไม่ได้มาในรูปแบบของการรุกรานด้วยอาวุธ แต่มาในรูปแบบของสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกพึงพอใจจนถอนตัวไม่ขึ้น จนนำไปสู่ภาวะที่สังคมเริ่มอ่อนแอลงจากภายในเพราะขาดภูมิคุ้มกันที่ดี

ในบริบทของโลกยุคดิจิทัล AI กำลังทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน คือการเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกจนผู้ใช้งานรู้สึก “ติด” และต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในแทบทุกกิจกรรม ซึ่ง ดร.ธนชาติ ไม่ได้มองว่า AI เป็นผู้ร้าย แต่ต้องการเตือนสติว่า หากเราปล่อยให้ AI คิดแทนและทำแทนในทุกเรื่องโดยไม่รักษาสมดุล ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และศักยภาพพื้นฐานของเราย่อมค่อย ๆ ถดถอยลง ซึ่งหากสังคมไทยยังคงสถานะเป็นเพียง “ผู้บริโภคเทคโนโลยี” ที่ขาดความตระหนักรู้ ในระยะยาวเราอาจตกอยู่ในภาวะ “พึ่งพิง” (Dependency) จนสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขบคิดสำหรับอนาคตของชาติ

เริ่มใช้ AI ยังไง? ‘ดร.ธนชาติ’ ย้ำ ไม่ต้องเรียน ‘Prompt’ แค่ ‘ลงมือทำ’

ความท้าทายประการแรก: เมื่อ “พฤติกรรมผู้ใช้งาน” คือปราการด่านแรก

ดร.ธนชาติ ได้ชี้ให้เห็นถึงรากฐานของปัญหาที่น่าสนใจว่า ความเปราะบางของประเทศไทยในยุค AI ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย หากแต่ฝังรากลึกอยู่ใน “พฤติกรรมการใช้งาน” ของคนในชาติเอง บ่อยครั้งที่เรามักบริโภคข้อมูลข่าวสารหรือใช้งานเครื่องมือดิจิทัลด้วยความ “ไว้วางใจ” มากจนเกินไป โดยขาดการฉุกคิดหรือตั้งคำถาม (Skepticism) ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์ได้โดยง่าย

ประเด็นเร่งด่วนที่สังคมต้องรู้เท่าทัน คือภัยคุกคามจากผู้ไม่หวังดีที่นำเทคโนโลยี AI ไปประยุกต์ใช้ในทางมิชอบ โดยเฉพาะการสร้าง “ข้อมูลเท็จ” (Disinformation) และเทคโนโลยี “Deepfake” ที่สามารถจำลองภาพและเสียงบุคคลได้แนบเนียนจนแทบแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า ความก้าวหน้านี้ได้กลายเป็นอาวุธใหม่ของกลุ่มมิจฉาชีพและอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) ที่อาศัยความสมจริงของ AI มาหลอกลวงประชาชน สร้างความเสียหายมหาศาลทั้งต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายของอาชญากรรมเหล่านี้

นอกจากมิติด้านความปลอดภัยแล้ว ในมิติทางสังคม อัลกอริทึมของ AI ยังทำงานอย่างขยันขันแข็งในการคัดกรองและป้อนเนื้อหาที่ “ตรงใจ” ผู้ใช้งานแต่ละคน (Personalization) แม้จะดูเป็นเรื่องดีที่ช่วยอำนวยความสะดวก แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง กลไกนี้อาจสร้างปรากฏการณ์ “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” (Echo Chamber) โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้เกิดการรวมกลุ่มทางความคิดในลักษณะ “ชนเผ่าดิจิทัล” (Digital Tribes) ซึ่งสมาชิกในกลุ่มจะได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียวที่ช่วยยืนยันความเชื่อเดิมของตนเองซ้ำ ๆ จนเกิดกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นการสื่อสารกับผู้ที่มีความเห็นต่าง และอาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งทางความคิดที่รุนแรงในสังคม ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่เราต้องทำความเข้าใจกลไกนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นตัวสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน

ความท้าทายประการที่สอง: การรักษาศักยภาพมนุษย์และอธิปไตยเหนือข้อมูล

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ ดร.ธนชาติ ชวนให้สังคมไทยร่วมกันตระหนัก คือความจำเป็นในการรักษา “ศักยภาพจากภายใน” ของมนุษย์ ควบคู่ไปกับการปกป้องข้อมูลสำคัญของชาติ โดยได้หยิบยกกรณีศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการลองทำแบบทดสอบวัดระดับสติปัญญา (IQ Test) ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งพบว่าเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถเข้ามาช่วยตอบคำถามและทำคะแนนได้เต็มทุกข้อ โดยที่มนุษย์ผู้สั่งการแทบไม่ต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ใด ๆ เลย

กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึง “ดาบสองคม” ของความสะดวกสบาย หากเราปล่อยให้ AI เข้ามาทำหน้าที่ “คิดแทน” และ “ทำแทน” ในทุกขั้นตอน เราอาจตกอยู่ในสภาวะ “ทักษะถดถอย” (Deskilling) หรือการที่สมองขาดการฝึกฝนจนความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ลดน้อยลง ดังนั้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและศักยภาพของคนไทย เราจึงควรปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเอง จากการเป็นเพียง “ผู้ใช้งาน” (User) ที่รอรับผลลัพธ์ มาเป็น “ผู้กำกับดูแล” (Director) หรือผู้ควบคุมที่ใช้สติปัญญาของมนุษย์เป็นตัวนำ แล้วใช้ความฉลาดของ AI เป็นเครื่องมือช่วยขยายขีดความสามารถในการทำงานให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

ควบคู่ไปกับการพัฒนาคน คือการตระหนักรู้ในเรื่อง “อธิปไตยทางข้อมูล” (Data Sovereignty) ในยุคปัจจุบันที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของเราส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริการคลาวด์หรือสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลองค์กรจำนวนมหาศาลจึงถูกส่งออกไปจัดเก็บยังเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ การขาดความตระหนักรู้หรือไม่มีนโยบายกำกับดูแลที่ชัดเจนในเรื่องนี้ จึงเปรียบเสมือนการที่เรา “เปิดประตูบ้านทิ้งไว้” ต้อนรับแขกแปลกหน้าโดยไม่มีรั้วรอบขอบชิด ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์หรือข้อมูลพฤติกรรมที่สำคัญรั่วไหล และถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่อาจกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติโดยที่เราไม่รู้ตัว

สร้างภูมิคุ้มกันคนสำคัญกว่าการไล่ตามเทคโนโลยี

เมื่อมองไปข้างหน้าเพื่อค้นหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับประเทศไทย ดร.ธนชาติ ได้เสนอแนะด้วยความหวังว่า ภาครัฐไม่จำเป็นต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาลไปกับการแข่งขันในสนามที่เราอาจเสียเปรียบ เช่น การพยายามสร้าง “AI แห่งชาติ” (National AI) หรือการลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อแข่งกับชาติมหาอำนาจ ซึ่งเป็นผู้กำหนดกติกาและเป็นเจ้าของเทคโนโลยีต้นน้ำ

ดร.ธนชาติ ชี้ทางรอดไทยยุค AI: หยุดเป็นแค่ ‘ผู้ใช้’ ต้องเร่งสร้าง ‘ผู้สร้าง’

แต่สิ่งที่ประเทศไทยสามารถทำได้ดีที่สุดและเห็นผลได้ทันที คือการหันกลับมาให้ความสำคัญกับ “การสร้างคน” (Human Development) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของชาติ การติดอาวุธทางปัญญาด้วยกระบวนการ ยกระดับทักษะเดิม (Upskill) และสร้างทักษะใหม่ (Reskill) ให้แก่ประชาชนในวงกว้าง จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนเพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล” ให้แข็งแกร่ง

หัวใจสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกันนี้ คือการปลูกฝังกรอบความคิด (Mindset) ในการใช้งานเทคโนโลยีที่ถูกต้อง เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” (Co-pilot) ที่เข้ามาช่วยทุ่นแรงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่การปล่อยให้ AI เข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ทั้งหมดในลักษณะ “Autopilot” จนทำให้มนุษย์หยุดคิดและสูญเสียคุณค่าในตัวเองไป

กระบวนการสร้างคนนี้ จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการปฏิรูปรากฐานทางการศึกษา โดยเปลี่ยนจากการเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำตำรา มาเป็นการมุ่งเน้นสร้างทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) เพื่อให้คนไทยสามารถแยกแยะข้อมูลและตัดสินใจได้อย่างเฉลียวฉลาด ควบคู่ไปกับการสร้าง ความยืดหยุ่นทางความคิด (Resilience) หรือความสามารถในการปรับตัวและล้มแล้วลุกไว เพื่อให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (Lifelong Learning) และก้าวทันโลกที่หมุนเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมั่นคง

วาระแห่งผู้นำ: ผนึกกำลังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ดร.ธนชาติ ได้ฝากประเด็นสำคัญที่เปรียบเสมือนหัวใจของการขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัลว่า เรื่องของ AI นั้นมีมิติที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรือเป็นเพียงความรับผิดชอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพียงลำพัง หากแต่ควรถูกยกระดับให้เป็น “วาระของนายกรัฐมนตรี” ซึ่งผู้นำประเทศจำเป็นต้องลงมาบัญชาการและกำหนดทิศทางด้วยตนเอง (Tone from the top) เพื่อแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน

การขับเคลื่อนนโยบาย AI ของชาติ จำเป็นต้องอาศัยการ “บูรณาการความร่วมมือข้ามกระทรวง” อย่างไร้รอยต่อ เพราะผลกระทบของเทคโนโลยีนี้แผ่ขยายวงกว้างไปในทุกบริบทของสังคม อาทิ

  • กระทรวงวัฒนธรรม – ต้องก้าวเข้ามามีบทบาทเชิงรุกในการสร้างค่านิยมทางสังคมที่ถูกต้อง และส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้วัฒนธรรมดิจิทัลบิดเบือนวิถีชีวิตของผู้คน
  • กระทรวงสาธารณสุข – ต้องวางมาตรฐานการใช้เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและการแพทย์แม่นยำ พร้อมทั้งปกป้องข้อมูลพันธุกรรมและข้อมูลสุขภาพของคนไทย
  • กระทรวงศึกษาธิการ – ต้องเป็นทัพหน้าในการเร่งปฏิรูปและพัฒนาหลักสูตร เพื่อสร้าง “คนคุณภาพ” ที่มีทักษะพร้อมสำหรับโลกอนาคต

เป้าหมายสูงสุดของการผนึกกำลังในครั้งนี้ คือการเปลี่ยนสถานะของ AI จากที่เป็น “ความเสี่ยง” ในการถูกครอบงำ ให้กลายเป็น “เครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ที่ทรงพลัง ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยฉุดรั้งประเทศไทยให้หลุดพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ที่เราติดหล่มมาอย่างยาวนาน

แม้ในความเป็นจริง ประเทศไทยอาจไม่ได้อยู่ในฐานะผู้สร้างเทคโนโลยีต้นน้ำเฉกเช่นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี แต่ ดร.ธนชาติ ยืนยันด้วยความมั่นใจว่า “ยังไม่สายเกินไป” ที่เราจะก้าวทันโลก หากเราเริ่มวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ นั่นคือยุทธศาสตร์ของการ “ฉลาดใช้ และ รู้จักป้องกัน” เพื่อให้เทคโนโลยีกลายเป็นฐานรากที่มั่นคงในการพัฒนาคนและพัฒนาชาติ ให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัยท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

IPO อาเซียน 2025: ดีลหดแต่เงินสะพัด 5.6 พันล้านเหรียญฯ สิงคโปร์ทวงแชมป์-เวียดนามม้ามืด

ดีป้าแจงปมสรรหา ยันถูกกฎหมาย-ขยายเวลารับสมัคร

Snowflake x AWS: เปิดบริการในไทย 2026

×

Share

ผู้เขียน