Share on
×

Share

DeFi พลิกโฉมใหญ่การเงินไร้พรมแดนเข้าสู่ยุค Hybrid Finance

DeFi พลิกโฉมใหญ่การเงินไร้พรมแดนเข้าสู่ยุค Hybrid Finance

วงการ Decentralized Finance (DeFi) กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปรับเปลี่ยนจากการเป็นตลาดที่เคยถูกเปรียบเสมือน “คาสิโน” ซึ่งเต็มไปด้วยการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงที่สุด สู่การเป็นเสาหลักแห่งโลกการเงินยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยการยอมรับจากสถาบันขนาดใหญ่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

ภายในงานแถลงข่าว Block Mountain 2026 ผู้เชี่ยวชาญอย่าง กานต์นิธิ ทองธนากุล Co-Founder และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน กลุ่มบริษัท Cryptomind Merkle Capital และ กัณฑ์ คลอวุฒินันท์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Ape X Crypto ได้ร่วมวิเคราะห์แก่นแท้ของ DeFi ในวัฏจักรปัจจุบัน โดยมีข้อสรุปว่า DeFi ได้อัปเกรดตัวเองเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีเสถียรภาพและซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม

การย้ายฐานสู่สถาบันและการสร้างความเชื่อมั่น

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในรอบนี้คือการที่ DeFi ได้เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหลักจากนักลงทุนรายย่อย ไปสู่สถาบันการเงินและกลุ่มการเงินดั้งเดิม (TradFi) อย่างสิ้นเชิง

คุณกัณฑ์ได้ชี้ถึงความเปราะบางในยุคเฟื่องฟูของ DeFi ปี 2020-2021 ซึ่งตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจที่สูงเกินจริงจากการเสกโทเคนจากอากาศจนก่อให้เกิดภาวะที่คล้ายกับ Ponzi Scheme ผลตอบแทนที่สูงถึงหลักพันเปอร์เซ็นต์ในขณะนั้น ทำให้เขามองว่าโครงการกว่า 98% คือการหลอกลวง (Scam) ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจึงผลักดันให้ตลาดต้องยกระดับและแสวงหากลไกที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน โครงการ DeFi ชั้นนำจึงไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คริปโทโบรอีกต่อไป แต่กำลังจ้างอดีตนักการเงิน (Investment Bankers) เพื่อไปนำเสนอผลิตภัณฑ์กับสถาบันโดยเฉพาะ คุณกัณฑ์ย้ำว่า “Target User ของเขาไม่ใช่คริปโทโบร Target ของเขาคือ Institution” โดยสถาบันเหล่านี้ไม่ได้ต้องการผลตอบแทนหลัก 1,000% แต่ต้องการกลยุทธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น กลุ่ม Family Offices เริ่มแบ่งสัดส่วนเพียง 1-2% มาลงทุนใน Bitcoin เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Sharpe Ratio) ให้กับพอร์ต หรือเลือกใช้กลยุทธ์ขั้นสูงอย่าง Delta Neutral ซึ่งเป็นการถือสินทรัพย์ Spot ควบคู่กับการ Short ในตลาด Futures เพื่อสร้างรายได้จากค่า Funding โดยไม่มีความเสี่ยงด้านราคา

ด้านคุณกานต์นิธิ ในฐานะผู้จัดการกองทุน ยืนยันว่า แม้จะมีผลิตภัณฑ์ DeFi ถูกเสนอมาให้พิจารณา แต่ต้องใช้เกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มงวดเพราะเป็นการบริหารจัดการเงินของลูกค้า เกณฑ์เบื้องต้นคือแพลตฟอร์มต้องมีมูลค่าสินทรัพย์รวม (TVL) เกิน 100 ล้านดอลลาร์ และมีผู้สนับสนุน (Backer) ที่น่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ คุณกัณฑ์เสริมว่า การเติบโตของสินทรัพย์โลกจริงที่ถูกแปลงเป็นโทเคน (RWA) จึงต้องมีการตรวจสอบ (Audit) อย่างโปร่งใสและจริงจัง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าทุก 1 ดอลลาร์ที่ถูกพิมพ์ออกมานั้น มีสินทรัพย์ค้ำประกันอยู่จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการนำพาสถาบันการเงินเข้าสู่โลก DeFi อย่างเต็มตัว

เครื่องจักรนวัตกรรม 3 เสาหลักขับเคลื่อนอนาคต

การที่ DeFi สามารถรองรับความต้องการของสถาบันได้นั้น มาจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ โดยคุณกานต์นิธิได้สรุป 3 เทรนด์หลักที่จะเป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ในการขับเคลื่อนโลก DeFi ไว้ดังนี้

1. Stablecoins และ Programmable Money

Stablecoins (เงินคงมูลค่า) คือพื้นฐานสำคัญที่ปลดล็อก Programmable Money (เงินที่ตั้งโปรแกรมได้) การที่ PayPal เริ่มออก Stablecoin ของตัวเอง หรือการมีบัตรเดบิตคริปโทสำหรับใช้จ่ายได้ทันทีในชีวิตประจำวัน คือตัวบ่งชี้การยอมรับในวงกว้าง (Mass Adoption) ที่กำลังเกิดขึ้นจริง โดย Stablecoin เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นฐานรากที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตของบริการ DeFi

2. AI และการบริหารจัดการพอร์ต

บทบาทของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) จะก้าวข้ามจากการเป็น Chatbot สู่การเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน (Management Port) ให้แก่ผู้ใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง

3. Real-World Adoption (RWA)

Real-World Adoption คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน โดยคุณกานต์นิธิให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “DeFi ไม่ใช่อนาคต แต่ DeFi คือปัจจุบัน และมันกำลังกลืนกินอนาคตเข้ามาเรื่อยๆ” การนำสินทรัพย์โลกจริงมาแปลงเป็นโทเคน (RWA) จึงเป็นปัจจัยหลักในการเติบโต

การพัฒนานี้ส่งผลให้ DeFi ได้พัฒนาจากยุค OG ที่ทำได้เพียงการแลกเปลี่ยน (Swap) สู่การเติมเต็มฟังก์ชันที่ซับซ้อนของ CEX โดยเฉพาะเทรนด์ที่มาแรงที่สุดคือ PerpDex (Perpetual Decentralized Exchange) หรือแพลตฟอร์มเทรดตราสารอนุพันธ์แบบกระจายศูนย์ ที่มีปริมาณการซื้อขายมหาศาล และบางครั้งสูงกว่า CEX บางแห่งด้วยซ้ำ ขณะที่การฟาร์มแบบดั้งเดิมก็ยังคงอยู่ แต่ให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล (5-6%) แข่งขันได้กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ความท้าทายของ Hybrid Finance ในไทย

แม้จะมีการเติบโตทั่วโลก แต่เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย ทั้งสองท่านยอมรับว่ายังมีความท้าทายอยู่มาก

คุณกานต์นิธิ ชี้ว่า ปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายที่กำกับดูแล DeFi โดยตรง ทำให้สถานะยังคงก้ำกึ่ง (Gray Area) และควบคุมได้ยากเพราะธรรมชาติของ DeFi นั้นไร้พรมแดน แต่ภาครัฐควรสนับสนุนและยกระดับบริการทางการเงิน เพราะ DeFi เป็นเพียงเครื่องมือทางการเงินเท่านั้น ในอนาคตจึงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่ Hybrid Finance (HyFi) ซึ่งการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มมี Sandbox เกี่ยวกับ Baht Stablecoin ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ด้านกฎระเบียบ คุณกัณฑ์ยอมรับว่า เหตุการณ์ Zipmex ในอดีต ที่นำเงินฝากลูกค้าไปใช้ใน DeFi จนสร้างความเสียหายกว่า 1,800 ล้านบาท เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ก.ล.ต. (SEC) จำเป็นต้องสติ๊กมากขึ้น (Stricter) ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องเมื่อเกี่ยวข้องกับเงินของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม สำหรับการชำระเงิน (Payment) ประเทศไทยนั้นล้ำหน้ากว่าชาติตะวันตกมาก เนื่องจากเราก้าวข้ามยุคบัตรเดบิต ไปสู่การสแกน QR Code สำหรับการซื้อสินค้าเพียง 15 บาทได้แล้ว ดังนั้น การที่ DeFi จะเข้ามาในไทยได้ จึงต้องอาศัยการผนวกแบบ ไร้รอยต่อ (Seamless) โดยใช้โมเดลแบบ Hybrid เช่น บัตรเดบิตคริปโท ที่ผู้ใช้จ่ายเป็นคริปโท แต่ร้านค้าได้รับเงินบาททันที โดยฝั่งร้านค้าไม่ต้องสนใจหรือเปิดคริปโทวอลเล็ตแต่อย่างใด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Uniswap บุกไทย ชู ‘การศึกษา DeFi’ ภารกิจหลักสร้างรากฐานยั่งยืนไม่เน้นเก็งกำไร

ถอดรหัส Ethereum: ทำไมราคา ‘Underperform’ สวนทางปัจจัยพื้นฐาน?

×

Share

ผู้เขียน