ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวก แต่คือปัจจัยชี้วัดความเป็นความตายของธุรกิจ สมยศ เชาวลิต ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (JIB) คือตัวอย่างของผู้นำที่ปรับตัวได้เท่าทันและล้ำหน้ากระแสความเปลี่ยนแปลงเสมอ จากอดีตโปรแกรมเมอร์สู่เจ้าของอาณาจักรค้าปลีกไอทีระดับหมื่นล้านบาทที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 24 ปี วันนี้เขากำลังพาองค์กรก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมด้วยการใช้ Data และ AI เข้ามาเป็นหัวใจในการบริหารงานอย่างเต็มรูปแบบ
พลิกโฉมการบริหารด้วย AI: เมื่อ ChatGPT กลายเป็น ‘เพื่อนคู่คิด’ และ ‘กุนซือส่วนตัว’ ของซีอีโอ
ภาพจำดั้งเดิมของผู้บริหารระดับสูงที่ต้องมีเลขานุการคอยติดตามเพื่อจดบันทึกทุกถ้อยคำ ได้ถูกลบเลือนไปจากวิถีการทำงานของ คุณสมยศ เชาวลิต เพราะในวันนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่าง ChatGPT ได้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นทั้ง “เลขานุการส่วนตัว” และ “ที่ปรึกษาทางธุรกิจ” ที่พร้อมตอบสนองทุกโจทย์การทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เปลี่ยนทุกช่วงเวลาของชีวิตให้กลายเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- เปลี่ยนห้องโดยสารรถยนต์ให้เป็น‘ห้องประชุมเคลื่อนที่’ คุณสมยศได้เปลี่ยนกิจวัตรระหว่างการเดินทางจากการฟังเพลงเพื่อความบันเทิง มาเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยฟีเจอร์ Voice Mode ของ ChatGPT โดยทำการเชื่อมต่อระบบเสียงของ AI เข้ากับลำโพงรถยนต์ เพื่อสนทนาโต้ตอบเสมือนมีเพื่อนคู่คิดนั่งร่วมทางไปด้วย วิธีการนี้เปิดโอกาสให้เขาสามารถระดมสมอง (Brainstorming) ปรึกษาไอเดียธุรกิจใหม่ๆ หรือตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบในเรื่องที่สงสัยได้ทันทีขณะขับรถ การสนทนาโต้ตอบด้วยเสียงที่ลื่นไหลนี้ ทำให้เขาสามารถตกผลึกความคิดและแก้ปัญหาทางธุรกิจได้แม้ในขณะที่มือยังจับพวงมาลัย โดยไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
- เจาะลึกกลยุทธ์ธุรกิจด้วย‘Deep Research’ ในฐานะผู้บริหารที่ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เครื่องมือสำคัญที่คุณสมยศเลือกใช้คือกุนซืออัจฉริยะอย่างฟีเจอร์ “Deep Research” เพื่อทำการวิจัยและค้นหาข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เขาใช้เครื่องมือนี้ในการตั้งโจทย์เพื่อค้นหาบริการรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าจะรู้สึกประทับใจ (Wow Factor) หรือบริการที่ยังไม่มีในตลาด โดยกระบวนการนี้ไม่ใช่เพียงการถามและตอบแบบผิวเผิน แต่เป็นการเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเรื่อย ๆ จนได้ชุดข้อมูลที่ตกผลึก นำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการที่แตกต่างและสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้อย่างแท้จริง
- ยกระดับการประชุมด้วย‘ระบบจดบันทึกและสรุปความอัตโนมัติ’ กระบวนการทำรายงานการประชุมที่เคยมียุ่งยากและใช้เวลานาน ถูกปฏิวัติใหม่ด้วยเทคโนโลยี คุณสมยศเลือกที่จะลดบทบาทการจดบันทึกด้วยมนุษย์ แล้วหันมาใช้เทคโนโลยี Speech-to-Text (Transcribe) แทน โดยอาศัยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงอย่าง Microsoft 365 และแอปพลิเคชันบันทึกเสียงต่างๆ เพื่อแปลงเสียงสนทนาในที่ประชุมให้เป็นตัวหนังสือ จากนั้นจึงนำข้อความที่ได้ป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อให้ทำการประมวลผล สรุปจับใจความสำคัญ และวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ อีกครั้ง วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้สรุปการประชุมที่แม่นยำและครบถ้วน แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการจดบันทึกและประหยัดเวลาในการทำงานไปได้อย่างมหาศาล
“AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คืออาวุธประจำกาย… ความได้เปรียบเสียเปรียบไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีปืน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครยิงแม่นกว่ากัน”
จากตรรกะโปรแกรมเมอร์สู่ ‘Real-time Dashboard’ หัวใจแห่งการบริหารธุรกิจหมื่นล้าน
รากฐานความสำเร็จของ JIB ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากสัญชาตญาณทางการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ถูกวางระบบด้วยวิธีคิดเชิงตรรกะที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ของ คุณสมยศ เชาวลิต ในช่วงที่เคยทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ มายาวนานกว่า 8 ปี ประสบการณ์ในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาประมวลผลเพื่อทำรายงาน (Report) นำเสนอผู้บริหารในยุคนั้น ได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้นำที่ “เสพติดข้อมูล” และมองเห็นโครงสร้างธุรกิจผ่านตัวเลขอย่างทะลุปรุโปร่ง
- บริหารธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์‘นักบิน’ (Management by Exception) คุณสมยศเปรียบเทียบหลักการบริหารของตนเองว่าคล้ายคลึงกับ “นักบิน” ที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมในห้องนักบิน (Cockpit) ซึ่งเต็มไปด้วยมาตรวัดและตัวเลขมากมาย ในความเป็นจริง นักบินไม่จำเป็นต้องจ้องมองเข็มทุกตัวตลอดเวลา แต่จะโฟกัสเฉพาะจุดที่มีสัญญาณแจ้งเตือนหรือมีความผิดปกติ (Anomaly) เท่านั้น แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้สร้าง Dashboard ของ JIB ที่ทำหน้าที่คัดกรองข้อมูลมหาศาลให้เหลือเพียง “จุดที่ต้องตัดสินใจ” หากตัวเลขใดเป็นปกติก็ปล่อยผ่าน แต่หากมีจุดใดผิดปกติ ระบบต้องแจ้งเตือนให้ผู้บริหารทราบทันทีเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
- เจาะลึกสถานะการเงินรายวัน (Daily P&L Snapshot) ในขณะที่หลายธุรกิจอาจต้องรอปิดงบสิ้นเดือนจึงจะทราบผลประกอบการ แต่คุณสมยศบริหาร JIB ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผ่านการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ ERP เข้าสู่ Dashboard สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถรู้ “กำไร-ขาดทุน” ได้แบบรายวัน ยกตัวอย่างเช่น หากวันนี้เป็นวันที่ 20 เขาสามารถทราบได้ทันทีว่าตั้งแต่วันที่ 1-19 บริษัทมีรายได้เท่าไร หักลบต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายดำเนินงานแล้ว เหลือกำไรสุทธิที่แท้จริงเท่าไร การรู้ข้อมูลที่ละเอียดถึงระดับรายรับรายจ่ายต่อชิ้น (Unit Economics) ช่วยให้ประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัทได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องคาดเดา
- พลิกเกมบริหารสต๊อก หัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีก สำหรับธุรกิจค้าปลีกไอทีที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ฝ่ายจัดซื้อ (Procurement) และการบริหารสต๊อกสินค้าถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด Dashboard ของคุณสมยศจึงถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบสถานะสินค้าอย่างเข้มข้นใน 2 มิติ :
- สินค้าขาด (Out of Stock): เนื่องจากวงการไอทีมีการสั่งซื้อสินค้าเข้าทุกวัน ระบบต้องระบุได้ทันทีว่าสินค้าตัวไหนที่เป็นที่ต้องการแต่ของหมด เพื่อสั่งเติมสต๊อกให้ทันต่อยอดขายที่กำลังวิ่งเข้ามา
- สินค้าค้างสต๊อก (Dead Stock): ระบบจะตรวจจับสินค้าที่ “ซื้อมาแล้วขายไม่ออก” หรือค้างนานเกินกำหนด เช่น ซื้อมา 100 ตัว ผ่านไป 1 สัปดาห์ขายได้เพียงเล็กน้อย ข้อมูลนี้จะนำไปสู่การตัดสินใจแก้เกมทันที ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชัน ทำผ่อน 0% แถมของสมนาคุณ หรือตรวจสอบราคาคู่แข่งเพื่อปรับกลยุทธ์ระบายสินค้า ก่อนที่ของจะจมทุนจนกลายเป็นผลขาดทุนในที่สุด
“ทำไมสั่งไก่ทอด KFC ราคา 200 บาท ได้กินใน 30 นาที แต่สั่งคอมพิวเตอร์ราคา 50,000 บาท ต้องรอถึงพรุ่งนี้?”
จากบทเรียน ‘ไก่ทอด’ สู่ปรากฏการณ์ ‘ส่งคอมด่วน’ และ ‘Mobile Store’ ที่ยกหน้าร้านไปเคาะประตูบ้าน
จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติมาตรฐานการบริการของ JIB ไม่ได้เกิดจากตำราบริหารธุรกิจที่ซับซ้อน แต่เกิดขึ้นจากข้อสังเกตง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของคุณสมยศที่เปรียบเทียบความขัดแย้งในโลกธุรกิจว่า “ทำไมเราสั่งไก่ทอด KFC ราคาเพียง 200 บาท ถึงได้รับอาหารภายใน 30 นาที แต่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ราคา 30,000 – 50,000 บาท กลับต้องรอสินค้าข้ามวัน?” คำถามนี้ได้จุดประกายให้เขาลุกขึ้นมาทลายข้อจำกัดเดิมๆ ของระบบขนส่งแบบ Outsource ที่มักจะมารับของตอนเย็นและส่งในวันรุ่งขึ้น สู่การสร้างระบบโลจิสติกส์ของตนเองที่เน้น “ความเร็ว” และ “ประสบการณ์” ที่เหนือกว่า
- นิยามใหม่แห่งความเร็วจาก Same Day สู่ 3 ชั่วโมง และบริการ 24 ชั่วโมง JIB ได้ยกระดับมาตรฐานการส่งสินค้าจากการส่งภายในวัน (Same Day) พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถทำเวลาได้ภายใน 6 ชั่วโมง 5 ชั่วโมง และปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ “ส่งด่วนภายใน 3 ชั่วโมง” ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อมียอดสั่งซื้อครบ 3,000 บาท ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ไม่มีวันหลับใหล JIB ยังเปิดให้บริการส่งตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมยศเล่าให้ฟังว่ามีลูกค้าใช้บริการจริงแม้กระทั่งเวลาตี 3 ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อเพื่อใช้งานด่วน หรือแม้แต่กรณีพระสงฆ์ที่สั่งซื้อเมาส์เกมมิ่งในช่วงเช้ามืดเพื่อนำไปศึกษาธรรมะและใช้งาน ก็สามารถได้รับสินค้าทันทีภายในคืนนั้น
- ยกห้างมาไว้หน้าบ้านด้วย‘Mobile Store’ (บริการเลือกสินค้าถึงที่) เพื่อขจัด Pain Point สำคัญของการซื้อของออนไลน์ที่ลูกค้ามักเกิดความลังเลเมื่อต้องเลือกระหว่างสินค้ารุ่นใกล้เคียงกัน JIB จึงสร้างสรรค์บริการ Mobile Store หรือรถโมบายล์กว่า 10 คัน ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ส่งของ แต่คือการ “ยกหน้าร้านไปหาลูกค้า”
- บริการเลือกได้ถึงที่ (Selection at Home): หากลูกค้าลังเลระหว่างโน้ตบุ๊ก 2 รุ่น รถโมบายล์จะขนสินค้าทั้ง 2-3 ตัวเลือกไปให้ลูกค้าสัมผัส เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกซื้อได้ที่หน้าบ้านหรือเดินขึ้นมาเลือกบนรถได้ทันที
- บริการครบวงจร: ภายในรถมีระบบไฟฟ้าสำรอง (UPS) สำหรับทดสอบเครื่องโดยไม่ต้องรบกวนไฟบ้านลูกค้า พร้อมทีมงานที่สามารถประกอบคอมพิวเตอร์ เซตสเปก และติดตั้งซอฟต์แวร์ให้เสร็จสรรพ พร้อมชำระเงินได้ทันทีที่หน้างาน
- คลังสินค้าอัจฉริยะและการตรวจสอบที่โปร่งใส เบื้องหลังความรวดเร็วคือการใช้เทคโนโลยี AGV (Automated Guided Vehicle) หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติคล้ายกับระบบของ Amazon เข้ามาช่วยในการหยิบสินค้า โดยหุ่นยนต์จะยกชั้นวางสินค้ามาหาพนักงานเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็ว แต่สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าคือ “กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ”เมื่อพนักงานหยิบสินค้ามาแพ็ค ระบบกล้องวงจรปิดจะบันทึกวิดีโอทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหยิบ การหมุนสินค้าให้ดูสภาพ หรือการวางเรียงสินค้าเพื่อนับจำนวน จากนั้นระบบจะอัปโหลดวิดีโอขึ้น Cloud และส่งลิงก์ผ่าน SMS ให้ลูกค้าดูได้ทันที ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าสินค้าครบถ้วนและถูกต้องตั้งแต่ก่อนที่กล่องพัสดุจะเดินทางมาถึงมือ
บทบาท ‘คน’ ในยุค AI: เมื่อเทคโนโลยีเปรียบดั่งอาวุธและมนุษย์คือ‘ผู้เหนี่ยวไก’ แห่งความรับผิดชอบ
ในมุมมองของคุณสมยศ การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้หมายถึงจุดจบของแรงงานมนุษย์ แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบของสมรภูมิธุรกิจ เขาให้คำนิยามที่ชัดเจนว่า “AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คืออาวุธประจำกาย” ชิ้นใหม่ที่ทรงอานุภาพ เปรียบเสมือนเราได้รับ “ปืน” กระบอกใหม่มาไว้ในมือ ซึ่งความได้เปรียบเสียเปรียบไม่ได้อยู่ที่ว่าใครมีปืน แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครมีทักษะในการใช้งานและ “ยิงแม่น” มากกว่ากัน
- ทักษะแห่งอนาคตไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง แต่ต้อง ‘เล็งเป้า’ ให้แม่น (AI Literacy) คนทำงานรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องเก่งกาจหรือรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่สิ่งที่เป็นข้อกำหนดพื้นฐานในการรับสมัครงานยุคนี้คือ ต้องมีทักษะในการใช้งาน AI (AI Literacy) โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่ “ศิลปะการตั้งคำถาม” หรือการเขียนคำสั่ง (Prompt) เปรียบเสมือนการเล็งเป้า หากผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญ จะรู้ว่าควรตั้งคำถามอย่างไร ถามลึกแค่ไหน หรือต้องดักทางอย่างไร เพื่อให้ AI ประมวลผลและส่งคำตอบที่ “แม่นยำ” และตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุด หากขาดทักษะนี้ ต่อให้มีอาวุธดีแค่ไหน ก็เหมือนการยิงกระสุนทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
- พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ความเป็นเจ้าของ (Ownership) และการลงมือทำ (Action) แม้ AI จะฉลาดล้ำจนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ซับซ้อนเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้คือ “ความรับผิดชอบ” (Ownership)และ “การตัดสินใจลงมือทำ” (Action) คุณสมยศยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากระบบ Dashboard ขององค์กร แม้ระบบจะแจ้งเตือนว่าสินค้ากำลังจะขาดสต๊อก หรือมีตัวเลขที่ผิดปกติ แต่ AI ไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายนั้นได้ หน้าที่นี้จึงเป็นของ “มนุษย์” ที่ต้องแสดงความเป็นเจ้าของงาน (Owner) รับลูกต่อจากข้อมูลนั้น แล้วดำเนินการแก้ไขให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด (Deadline) เพราะหากมีข้อมูลมหาศาลอยู่ในมือแต่ขาดคนที่จะนำไปปฏิบัติจริง ข้อมูลเหล่านั้นก็จะไร้ค่าและไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อธุรกิจเลย
ก้าวต่อไปสู่ ‘Private AI’: สร้างสมองกลส่วนตัวเกราะป้องกันความลับทางธุรกิจ
แม้ว่าคุณสมยศจะเป็นผู้ใช้งานตัวยงของ Public AI อย่าง ChatGPT ในการช่วยคิดงานทั่วไป แต่ในมุมมองของนักบริหารระดับสูง เขาตระหนักดีถึง “ดาบสองคม” ของการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Data) เช่น ยอดขายเชิงลึก รายชื่อลูกค้า หรือข้อมูลทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือเป็นความลับทางการค้าที่ไม่อาจเสี่ยงให้รั่วไหลออกสู่ภายนอกได้
- ทางออก: ระบบ AI แบบ On-premise (Private AI) เพื่อทลายข้อจำกัดนี้ JIB จึงกำลังมุ่งเน้นการพัฒนาและลงทุนในระบบ “Private AI” หรือการสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทเอง (On-premise) โดยไม่อิงกับระบบคลาวด์สาธารณะ
- ความปลอดภัยสูงสุด: การมี Server เป็นของตัวเองเปรียบเสมือนการสร้าง “ห้องนิรภัย” ที่เราสามารถป้อนข้อมูลภายในทั้งหมดลงไปได้โดยไม่ต้องกลัวข้อมูลรั่วไหล
- เจาะลึกข้อมูลองค์กร: เมื่อไร้ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ผู้บริหารสามารถสั่งการให้ AI ประมวลผลข้อมูลเชิงลึกได้อย่างเต็มที่ เช่น การถามหาแนวโน้มยอดขายรายสินค้า หรือการวิเคราะห์พฤติกรรมพนักงานรายบุคคล (เช่น สถิติการลา) เพื่อนำมาวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและตรงจุดที่สุด
จากร้านตึกแถวสู่ Tech Retailer ที่ขับเคลื่อนด้วย Data DNA
เส้นทางการต่อสู้กว่า 24 ปีของ “สมยศ เชาวลิต” เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จของ JIB ในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเพียงแค่ “ซื้อมาขายไป” หรือการวิ่งตามกระแสเทคโนโลยีอย่างฉาบฉวย แต่เกิดจากการ “มองเห็นปัญหาให้ทะลุ และใช้เทคโนโลยีเป็นกุญแจในการไขทางออก”
วันนี้ JIB ได้ก้าวข้ามภาพจำของการเป็นเพียงร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็นองค์กรค้าปลีกนวัตกรรม (Tech Retailer) ที่มี Data เป็นลมหายใจ และมี AI เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำงาน พื้นฐานความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายเดียว คือการส่งมอบคุณค่า ทั้งความรวดเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ดีที่สุด ให้ถึงมือลูกค้าทุกคน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดก็ตาม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สถาปนิกแห่งความปลอดภัย ‘ดร.ศุภกร กังพิศดาร’ ผู้ผ่านทุกบทบาทในสมรภูมิไซเบอร์
‘กฤษฎา ชุตินธร FlowAccount’ พลิกความวุ่นวายหลังบ้านสู่ ‘ระบบปฏิบัติการ’ คู่ใจ SME




