กระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยีที่หมุนเร็วจนน่าตกใจ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เครื่องมือดิจิทัลถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนรุ่นใหม่เพียงชั่วข้ามวัน ซึ่งเป็นความจริงที่ผู้นำและคนทำงานทุกคนต้องเผชิญ ความเร็วระดับนี้ส่งผลให้องค์ความรู้ที่เตรียมพร้อมมาอย่างดีอาจล้าสมัยทันทีที่เริ่มลงมือทำ ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ซีอีโอ บริษัท JIB AI จำกัด ได้ร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว พร้อมถอดรหัสแนวทางการปรับตัวของบุคลากรในองค์กร ทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตาม เพื่อให้อยู่รอดได้ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานใหม่ของโลกธุรกิจ
จากกับดักความเร็วสู่การค้นหาแก่นแท้ขององค์กร: เมื่อความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว
ดร.ธรรม์ธีร์ ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของบทบาทผู้นำในโลกยุคใหม่ว่า “ความท้าทายที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การพาองค์กรวิ่งแข่งกับความเร็วของเทคโนโลยีเพื่อให้ทันกระแสทุกฝีก้าว แต่คือความสามารถในการปรับกระบวนทัศน์ให้มีความยืดหยุ่น และไม่ยึดติดกับกรอบความสำเร็จในอดีต”
ในสมัยก่อน มาตรวัดความสำเร็จของผู้นำมักผูกติดอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นผลกำไรที่เติบโต ความรวดเร็วในการขยายธุรกิจ หรือมูลค่าราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้น แต่ในปัจจุบัน มุมมองต่อความสำเร็จได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง องค์กรที่มีขนาดใหญ่และมั่งคั่งแต่กลับดำเนินธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหรือทำลายสิ่งแวดล้อม จะถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ “ไม่โอเค” ในสายตาของคนยุคใหม่
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ของผู้นำจึงเป็นการกลับมาทบทวนค้นหา “สาระสำคัญ” (Essence) หรือพันธกิจหลักขององค์กรให้เจอว่าแท้จริงแล้วเราดำรงอยู่เพื่ออะไร หากผู้นำขาดหลักยึดที่มั่นคงและปล่อยให้กระแสความตื่นตระหนกเข้าครอบงำ เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เข้ามา ผู้นำกลุ่มนี้มักจะตกหลุมพรางด้วยการโยนภาระงานใหม่ ๆ ใส่ทีมงานอย่างไม่หยุดหย่อน หรือใช้วิธีบริหารแบบเดิมที่เน้นสร้างความหวาดกลัวว่า “ถ้าไม่ทำ จะตกยุค” ซึ่งรังแต่จะสร้างความสับสนและความเหนื่อยล้าให้กับบุคลากร
ดร.ธรรม์ธีร์ จึงเสนอแนะว่า แทนที่จะมุ่งแต่จะวิ่งตามโลกให้ทัน ผู้นำควรหันมาให้ความสำคัญกับ การสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี และการสร้างความสุขในการทำงาน เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นคำตอบที่ยั่งยืนกว่าการเป็นองค์กรที่ร่ำรวยมหาศาลแต่ขาดรากฐานที่มั่นคงทางจิตใจและสังคม
นิยามใหม่ของผู้ตาม: จากผู้รับคำสั่ง สู่ “นักเหลาความคิด” ให้แหลมคม
ในโลกการทำงานยุคใหม่ บทบาทของ “ผู้ตาม” หรือทีมงานปฏิบัติการ กำลังถูกพลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง ดร.ธรรม์ธีร์ นำเสนอทัศนะที่น่าสนใจว่า เราไม่ควรตีกรอบคำว่าผู้ตามเป็นเพียงผู้รอรับคำสั่งอีกต่อไป แต่พวกเขาคือกุญแจสำคัญที่ทำหน้าที่เป็น “นักเหลาความคิด” เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์ที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้
ดร.ธรรม์ธีร์ เปรียบเปรยภาพการทำงานร่วมกันไว้อย่างลึกซึ้งว่า “วิสัยทัศน์หรือไอเดียตั้งต้นจากผู้นำมักมีลักษณะคล้ายท่อนซุงขนาดใหญ่ ซึ่งแม้จะมีทิศทางหรือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แต่เนื้องานมักยังมีความดิบ ขาดรายละเอียด และยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานจริง หากนำซุงทั้งท่อนไปใช้งานทันที อาจขาดประสิทธิภาพหรือไม่สามารถเจาะทะลวงปัญหาในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้”
ดังนั้น หน้าที่สำคัญของทีมงานในยุคนี้ คือการนำโจทย์กว้าง ๆ เหล่านั้นมาผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ และลงมือ “เหลาให้แหลมคม” โดยต้องประเมินถึงความพร้อมของทรัพยากร งบประมาณ และความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อแปลงไอเดียตั้งต้นให้กลายเป็นอาวุธทางธุรกิจที่ทรงพลัง พร้อมที่จะพุ่งชนเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นการช่วยอุดช่องว่างให้แก่ผู้นำที่อาจไม่มีเวลาลงรายละเอียดในทุกมิติ
ในกระบวนการนี้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือทุ่นแรงและ “ตัวช่วยทางจิตวิทยา”โดยเฉพาะการใช้ AI เป็นตัวกลางทางความคิด เพื่อลดแรงเสียดทานในการสื่อสารระหว่างระดับบังคับบัญชา ในสถานการณ์ที่ทีมงานเห็นจุดบกพร่องในไอเดียของหัวหน้า การโต้แย้งโดยตรงอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเสี่ยงต่อความขัดแย้งทางอารมณ์ แต่ปัจจุบันทีมงานสามารถใช้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์จาก AI มาเป็นบุคคลที่สามในการอ้างอิง เช่น การนำเสนอผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของ AI เพื่อชี้ให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง
วิธีการนี้ช่วยเปลี่ยนการถกเถียงด้วยความรู้สึกส่วนตัว ให้กลายเป็นการหารือบนพื้นฐานของชุดข้อมูล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและแม่นยำขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาสัมพันธภาพที่ดีในการทำงาน ทำให้ผู้นำและผู้ตามสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
กลยุทธ์การบริหารทีมที่ปรึกษาปัญญาประดิษฐ์: เปลี่ยน AI ให้เป็นพนักงานมืออาชีพ
เพื่อให้การใช้งานเทคโนโลยีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดร.ธรรม์ธีร์ ได้นำเสนอกลยุทธ์การบริหารจัดการที่น่าสนใจ โดยแนะนำให้ปรับมุมมองจากการเป็นเพียง “ผู้ใช้งาน” มาเป็น “ผู้บริหารทีม” ที่มองว่า AI คือทีมที่ปรึกษาส่วนตัว
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้คือการไม่ผูกขาดความไว้วางใจไว้กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งเพียงรายเดียว แต่ควรเลือกใช้เครื่องมือที่หลากหลายควบคู่กันไป อาทิ ChatGPT, Gemini และ NotebookLM โดยใช้วิธีการป้อนชุดคำสั่งเดียวกันลงในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อทำการเปรียบเทียบคำตอบและคัดกรองผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม่นยำที่สุดมาใช้งาน วิธีการนี้เปรียบเสมือนการระดมสมองจากที่ปรึกษาหลายท่าน เพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านก่อนตัดสินใจ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดและปิดจุดอ่อนของการพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งเดียว
นอกจากนี้ ดร.ธรรม์ธีร์ ยังเปรียบเทียบการชำระค่าบริการรายเดือนให้กับ AI ว่าเหมือนกับ “การจ่ายเงินเดือนพนักงาน” ซึ่งจุดเด่นของยุคนี้คือความยืดหยุ่นและความคล่องตัวสูง หากพบว่าเครื่องมือตัวใดเริ่มทำงานได้ไม่คุ้มค่า ประสิทธิภาพตกลง หรือมีเครื่องมือใหม่ที่ดีกว่าเกิดขึ้น ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจ “เลิกจ้าง” หรือยกเลิกบริการได้ทันทีโดยไม่มีข้อผูกมัดที่ซับซ้อน สะท้อนให้เห็นว่าต้นทุนเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ใช่ภาระผูกพันระยะยาวอีกต่อไป แต่เป็นทรัพยากรที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตความสามารถของ AI ยังขยายไปไกลกว่าการเป็นแค่แชทบอทถาม-ตอบ แต่ก้าวไปสู่การเป็นผู้สร้างเครื่องมือ ดร.ธรรม์ธีร์ ยกตัวอย่างนวัตกรรมใหม่อย่าง “Google Opal” ที่เข้ามาปลดล็อกข้อจำกัดทางเทคนิค โดยอนุญาตให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นมาใช้งานเองได้ เพียงแค่ป้อนคำสั่งเป็นภาษาธรรมดา (Prompt) โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรม (Coding) เช่น การสร้างแอปฯ เพื่อช่วยตัดสินใจเลือกร้านอาหารในครอบครัว หรือสร้างระบบตรวจสอบเอกสารอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งช่วยให้เราสามารถสร้างเครื่องมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และประหยัดงบประมาณ
พื้นที่แห่งความไว้วางใจ: ป้อมปราการสุดท้ายที่เทคโนโลยีไม่อาจยึดครอง
ในประเด็นที่สังคมกำลังตื่นตระหนกกับคำถามที่ว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแย่งชิงงานและแทนที่มนุษย์อย่างสมบูรณ์หรือไม่นั้น ดร.ธรรม์ธีร์ ได้ฉายภาพให้เห็นความจริงอีกด้านที่น่าสนใจ โดยยอมรับว่าหากพิจารณาในมิติของทักษะเชิงเทคนิค ความรวดเร็วในการประมวลผล และความแม่นยำของข้อมูล เราต้องยอมรับว่า AI ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว แม้กระทั่งในดินแดนแห่งสุนทรียศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์อย่างงานศิลปะหรือการแต่งเพลงที่มนุษย์เคยเชื่อว่าเป็นพื้นที่หวงห้ามเฉพาะเผ่าพันธุ์ของเรา ปัจจุบัน AI ก็สามารถรังสรรค์ผลงานเหล่านี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเก่งกาจของอัลกอริทึม ยังคงมีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เทคโนโลยีไม่สามารถก้าวล่วงเข้ามาได้ นั่นคือ มิติของการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือ “Human Touch” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ดร.ธรรม์ธีร์ อธิบายว่า โลกธุรกิจไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตรรกะและตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยศิลปะแห่งความไว้วางใจ การเจรจาต่อรองที่ต้องใช้วิจารณญาณ และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่ยั่งยืน สิ่งเหล่านี้เกิดจากการพบปะ พูดคุย และความรู้สึกเชื่อมั่นที่มนุษย์มอบให้แก่กัน ซึ่งเป็นความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบหรือสร้างขึ้นมาทดแทนได้
เพื่อขยายความให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ดร.ธรรม์ธีร์ ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมการบิน ในปัจจุบันระบบการบินส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ถูกควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติหรือ AI ที่มีความแม่นยำสูง แต่ถึงกระนั้น ในทุกเที่ยวบินก็ยังจำเป็นต้องมี “กัปตันที่เป็นมนุษย์” นั่งประจำการอยู่ในห้องนักบิน เหตุผลสำคัญไม่ใช่เพียงเพื่อคอยแก้ไขสถานการณ์วิกฤตที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของจิตวิทยาและความอุ่นใจของผู้โดยสาร ที่ต้องการฝากชีวิตไว้กับมนุษย์ด้วยกันที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ มากกว่าจะไว้วางใจให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ไร้ความรู้สึกเป็นผู้กุมชะตาชีวิตเพียงลำพัง
บทสรุปสู่การสร้าง “ความฉลาดร่วม”: เมื่อมนุษย์และจักรกลต้องก้าวไปด้วยกัน
บทสรุปแห่งอนาคตที่ ดร.ธรรม์ธีร์ ฝากไว้ จึงไม่ใช่ภาพของการแข่งขันเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งระหว่างมนุษย์กับจักรกล หรือการวัดกันว่าองค์กรใดจะครอบครองเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่ากัน แต่หัวใจสำคัญคือการสร้างโมเดลการทำงานแบบ “ความฉลาดร่วม” (Collaborative Intelligence) ซึ่งเป็นการผสานศักยภาพทางความคิด ความรู้สึก และวิจารณญาณที่ดีที่สุดของมนุษย์ เข้ากับขีดความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็วและแม่นยำของ AI เพื่อยกระดับผลลัพธ์ให้เกินขีดจำกัดเดิม
ดร.ธรรม์ธีร์ เน้นย้ำว่า การปรับตัวที่ดีที่สุดท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ คือการก้าวข้ามกำแพงแห่งความหวาดกลัว เฉกเช่นในอดีตที่ผู้คนเคยหวาดกลัวตู้เอทีเอ็มหรืออินเทอร์เน็ต แต่ท้ายที่สุดก็เรียนรู้ที่จะใช้งานมันจนเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำในวันนี้คือการเปลี่ยนมุมมอง (Mindset) จากการตั้งป้อมต่อต้าน มาเป็นการเปิดใจรับและปรับเปลี่ยนให้เป็นความสนุกในการเรียนรู้
เราควรมองเทคโนโลยีให้เป็นเสมือน “เพื่อนร่วมงานหน้าใหม่” หรือทีมงานน้องใหม่ไฟแรง ที่เราต้องทำความรู้จัก มอบหมายหน้าที่ให้ชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือมนุษย์ยังคงต้องทำหน้าที่ “กำกับดูแล” และมีความรับผิดชอบต่อผลงานสุดท้าย (Accountability) เราต้องเป็นผู้กำหนดโจทย์ ตรวจสอบความถูกต้อง และไม่ปล่อยให้เครื่องมือชี้นำทิศทางโดยปราศจากการควบคุม
แนวคิดนี้จะช่วยให้องค์กรและบุคลากรสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าในโลกยุคดิจิทัลที่หมุนเร็วได้อย่างมั่นคง โดยไม่สูญเสียตัวตนและยังคงมีความสุขในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ช้าเท่ากับแพ้! ทรูชู Real-time Decision ทางรอดเดียวธุรกิจยุค AI
‘ZTRUS’ คว้า Series A ผนึก 3 ยักษ์ ดัน AI ไทยลุยตลาดโลก




