ในแวดวงการเงินไทย หากเอ่ยถึงบุรุษผู้กุมความลับทางการเงินของคนทั้งประเทศและยืนหยัดผ่านวิกฤติมาอย่างโชกโชน ชื่อของ “สุรพล โอภาสเสถียร” ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ย่อมเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึง
ก่อนที่เขาจะก้าวลงจากตำแหน่งและเกษียณอายุในเดือนกรกฎาคมปีหน้า คุณสุรพลได้ทิ้งทวนด้วยปาฐกถาพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปี NCB ที่ไม่ใช่การแถลงผลงานตามธรรมเนียม แต่คือการเปิดเปลือยความจริงแบบ “พงศาวดารกระซิบ” เล่าเบื้องหลังความเจ็บปวด ข้อผิดพลาด และความท้าทายของระบบการเงินไทย ด้วยลีลาที่ดุดัน ตรงไปตรงมา และแฝงไปด้วยตลกร้ายที่สะท้อนความบิดเบี้ยวของโครงสร้างประเทศ
นี่คือบทสรุปจากการถอดรหัสคำพูดของ “นายทวารการเงิน” ผู้นี้ ที่สะท้อนให้เห็นว่า 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจ็บแล้วจำ หรือเจ็บแล้วยังย่ำอยู่ที่เดิม
กำเนิดจากซากปรักหักพัง: บาดแผลต้มยำกุ้งและจิ๊กซอว์ที่หายไปของ “หนี้การค้า”
หากย้อนกลับไปมองจุดเริ่มต้นของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) หรือที่เราเรียกติดปากว่า “เครดิตบูโร” สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ ได้เปิดเผยความจริงที่เจ็บปวดว่า องค์กรแห่งนี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ที่สวยหรูหรือความสมัครใจของระบบการเงินไทย แต่ “อุบัติขึ้น” ท่ามกลางซากปรักหักพังของโศกนาฏกรรมทางเศรษฐกิจ หรือ วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540
การก่อตั้งเครดิตบูโรในเวลานั้น เป็นเสมือน “ยาขม” ที่ถูกบังคับป้อนผ่านพันธสัญญาใน หนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ฉบับที่ 6 ที่รัฐบาลไทยทำไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งระบุเงื่อนไขชัดเจนว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลเครดิต (Credit Registry) ขึ้นมาเพื่อปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
ความโกลาหลในห้องประชุมเจ้าหนี้ คุณสุรพลได้ถ่ายทอดภาพจำที่สะท้อนความล้มเหลวของระบบข้อมูลในยุคนั้นได้อย่างเห็นภาพชัดเจน บรรยากาศการประชุมประนอมหนี้ในโรงแรมหรู เต็มไปด้วยความน่าเวทนาปนตลกร้าย เมื่อเจ้าหนี้สถาบันการเงินกว่า 40 ราย ต้องมารวมตัวกันเพื่อทวงถามหนี้จากลูกหนี้เพียงรายเดียว
ในสถานการณ์นั้น เจ้าหนี้แต่ละรายต่างตกอยู่ในสภาวะ “ตาบอดคลำช้าง” เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าลูกหนี้รายนี้ไปก่อหนี้ไว้กับที่อื่นอีกเท่าไหร่ จนกระทั่งมาเจอหน้ากันในห้องประชุมถึงได้รู้ความจริงว่าทุกคนต่างก็เป็น “เจ้าหนี้” ของคนคนเดียวกัน ขณะที่ฝ่ายลูกหนี้กลับนั่งยิ้มเยาะอยู่กลางวงล้อมด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน พร้อมประกาศวลีอมตะที่กลายเป็นตำนานแห่งความดื้อแพ่งว่า “ไม่กลัว ไม่มี ไม่หนี ไม่ให้” เพราะรู้ดีว่าระบบตรวจสอบของไทยในขณะนั้นอ่อนแอเพียงใด
ความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์: การละเลย “หนี้การค้า” ประเด็นที่น่าเสียดายที่สุดที่คุณสุรพลหยิบยกขึ้นมา คือ “บทเรียนราคาแพง” จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในวันแรกตั้ง ในขณะนั้น IMF ไม่ได้แนะนำเพียงแค่ให้ตั้งเครดิตบูโร แต่ได้ระบุเจาะจงให้ไทยจัดเก็บข้อมูลที่เรียกว่า “หนี้การค้า” (Trade Credit) หรือข้อมูลสินเชื่อทางการค้าระหว่างภาคธุรกิจด้วย
หากในวันนั้น ประเทศไทยเลือกที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของ IMF อย่างครบถ้วนด้วยการวางระบบจัดเก็บข้อมูลหนี้การค้า เราจะมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของภาคธุรกิจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่แค่หนี้กับธนาคาร แต่รวมถึงพฤติกรรมการชำระเงินระหว่างคู่ค้า ซัพพลายเออร์ รายใหญ่และรายเล็ก ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพทางการเงินที่สำคัญยิ่ง
ผลพวงที่ส่งผลถึงปัจจุบัน การเลือกที่จะ “ไม่ทำ” ในวันนั้น กลายเป็นพันธนาการที่ฉุดรั้งเราในวันนี้ เมื่อไทยขาดฐานข้อมูลหนี้การค้า ทำให้ระบบการเงินไม่สามารถตรวจสอบความเสี่ยง หรือเช็คสถานะการชำระเงินทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาหนี้สินหรือการประเมินศักยภาพผู้กู้จึงเป็นไปอย่างยากลำบาก เสมือนการเดินคลำทางในที่มืด ซึ่งคุณสุรพลเปรียบเปรยสถานการณ์ปัจจุบันว่าเรายังคงต้อง “มงุมมะงาหรา” กับปัญหาข้อมูลที่ขาดหายไปนี้ ทั้งที่เวลาล่วงเลยมากว่า 2 ทศวรรษแล้ว
กับดักการพัฒนา: เมื่อประเทศไทยติดหล่ม “เสือกระดาษ” เขียนแผนระดับโลกแต่สอบตกภาคปฏิบัติ
ในวงการยุทธศาสตร์ชาติ มีคำกล่าวที่แสบสันต์แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ประเทศไทยไม่เคยขาดแคลนแผนงานที่ดี แต่ขาดแคลนการลงมือทำที่จริงจัง” ประเด็นนี้ได้รับการตอกย้ำอย่างแหลมคมโดย คุณสุรพล ที่วิพากษ์วิจารณ์โครงสร้างการทำงานของภาครัฐไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยเปรียบเสมือน “นักเขียนแผนมือทอง”
หากพิจารณาจาก “แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน” หรือแผนแม่บทต่าง ๆ ที่ถูกร่างขึ้น จะพบว่าเนื้อหานั้นมีความสมบูรณ์แบบและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล หากเราสามารถปฏิบัติตามแผนที่เขียนไว้ได้จริง ประเทศไทยคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD) ไปนานแล้ว แต่ในความเป็นจริง เรากลับติดอยู่ในกับดักที่เรียกว่า “Planning คือ Plan-Ninging (แผนนิ่ง)” เป็นการเล่นคำที่สะท้อนความเจ็บปวดว่า แผนที่วางไว้มักจะ “นิ่งสนิท” อยู่กับที่ ไม่ถูกนำไปขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ

คะแนนที่หายไป: ต้นทุนโอกาสของ “คนตัวเล็ก” ความล่าช้าในการลงมือทำไม่ได้ส่งผลเสียแค่ในหน้ากระดาษ แต่สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขความเชื่อมั่นระดับโลก ในการประเมินความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก ประเทศไทยสามารถคว้าคะแนนด้านข้อมูลเครดิตได้ถึง 7 เต็ม 8 คะแนน
ทว่า “คะแนนที่ 8 ที่หายไป” นั้น กลับเป็นหัวใจสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นั่นคือการขาดระบบจัดเก็บข้อมูล “สาธารณูปโภค” (Utility Data) เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าโทรศัพท์ ข้อมูลเหล่านี้ในทางเศรษฐศาสตร์ถือเป็น “ข้อมูลทางเลือก” (Alternative Data) ที่มีความสำคัญยิ่งในการช่วยวิเคราะห์เครดิตให้กับประชาชนรายย่อย หรือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unbanked) ซึ่งไม่มีประวัติการกู้ยืมกับธนาคาร การขาดข้อมูลส่วนนี้ไป เท่ากับเป็นการตัดโอกาสของคนตัวเล็กในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบอย่างน่าเสียดาย
ความล้มเหลว 1 ทศวรรษ: เมื่อเพื่อนบ้านแซงหน้าด้วยวิสัยทัศน์ เรื่องราวที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ “เจตจำนง” ที่ถูกแช่แข็งมายาวนาน คุณสุรพลย้อนความหลังว่า ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน เขาได้เสนอแนวคิดเรื่องการนำข้อมูลค่าน้ำค่าไฟมาใช้ในการประเมินเครดิต แต่กลับได้รับแรงต้านอย่างรุนแรง พร้อมคำถามเชิงต่อว่าในยุคนั้นว่า “จะเอามันไปประหารชีวิตหรือ”
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป โลกการเงินเปลี่ยน บริบทสังคมเปลี่ยน วันนี้สังคมกลับมาตั้งคำถามว่า “ทำไมเราถึงยังไม่มีข้อมูลเหล่านี้?” ทั้งที่มี มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาตั้งแต่ปี 2557 ให้ดำเนินการเรื่องนี้ แต่จนถึงปัจจุบัน ผ่านมากว่า 10 ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงถกเถียงหาข้อสรุปไม่ได้ วนเวียนอยู่ในอ่างของระเบียบและข้อกฎหมาย
ในขณะที่ประเทศไทยยังคง “ประชุมและถกเถียง” ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กลับแสดงวิสัยทัศน์ที่เหนือชั้นกว่า รัฐบาลลาวตระหนักดีว่าประชาชนอาจมีปัญหาประวัติทางการเงินจากวิกฤติ จึงสั่งการให้มีการจัดเก็บข้อมูลสาธารณูปโภคเข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลช่วยประชาชน กรณีศึกษานี้จึงเป็นเครื่องสะท้อนที่ชัดเจนว่า ในโลกยุคใหม่ “ความรวดเร็วในการลงมือทำ” คือกุญแจสำคัญ และประเทศไทยกำลังพ่ายแพ้ในเกมนี้ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เพราะเราไม่กล้าที่จะ “ขยับ” จากแผนที่วางไว้เสียที
กฎหมายคนตายกับโลกการเงินใหม่ที่ไร้การควบคุม: เมื่อกติกาเก่าไล่ตามไม่ทันหนี้สินยุคดิจิทัล
หนึ่งในประเด็นที่สะท้อนความบิดเบี้ยวของระบบการเงินไทยได้ดีที่สุด คือวาทะกรรมของคุณสุรพล ที่เปรียบเปรยสถานการณ์ปัจจุบันไว้ว่า “กฎหมายไทยเขียนโดยคนตาย แต่คนเป็นเป็นคนใช้”
คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเล่นคำ แต่คือการชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างแห่งกาลเวลา” ของ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตพ.ศ. 2545 กฎหมายแม่บทที่ร่างขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีก่อน โดยคณะผู้ร่างที่หลายท่านได้ล่วงลับไปแล้ว กฎหมายฉบับนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมโลกการเงินในอดีต แต่กลับถูกนำมาบังคับใช้ในโลกปัจจุบันที่บริบททางการเงินเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้เกิด “พื้นที่สีเทา” ที่ระบบตรวจสอบเอื้อมไม่ถึง
1. ปรากฏการณ์ Buy Now Pay Later: เมื่อการก่อหนี้เล็กลงจน “มองไม่เห็น” คุณสุรพลยกตัวอย่างความล้าหลังที่น่าตกใจของนิยามคำว่า “สถาบันการเงิน” ในกฎหมายเก่า ที่ไม่ครอบคลุมรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะเทรนด์ “ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง” (Buy Now, Pay Later) ที่กำลังระบาดไปทั่วทุกอณูการใช้ชีวิต ในอดีต การขอสินเชื่ออาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ปัจจุบันการก่อหนี้ลงลึกไปถึงระดับจุลภาค เราเห็นการผ่อนสินค้าที่เหลือเชื่ออย่าง “การผ่อนสุนัข” หรือแม้กระทั่ง “ลิปสติกแท่งละ 150 บาท” ก็สามารถผ่อนชำระได้ 3 งวดโดยไม่มีดอกเบี้ย
ธุรกิจเหล่านี้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากธนาคารที่ปล่อยกู้ แต่ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายที่ตีความไม่ถึง ทำให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ไม่อยู่ในนิยามของสถาบันการเงินที่ต้องส่งข้อมูล ผลลัพธ์คือเกิด “หนี้เงา” จำนวนมหาศาลที่ไม่อยู่ในระบบฐานข้อมูลเครดิตบูโร ทำให้เราไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้บริโภคได้เลย
2. หนี้ครูและสหกรณ์: ภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนอยู่ใต้พรม นอกจากหนี้จิ๋วที่มองไม่เห็น ยังมี “หนี้ก้อนมหึมา” ที่ถูกซ่อนไว้นานนับทศวรรษในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ ความยากลำบากในการดึงข้อมูลส่วนนี้เข้าสู่ระบบสะท้อนผ่านระยะเวลาการผลักดันที่ยาวนานถึง 7 ปี กว่าที่สหกรณ์จะยอมเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร
ความน่ากลัวอยู่ที่ตัวเลขที่เพิ่งปรากฏชัด เมื่อข้อมูลถูกเปิดเผยพบว่า เฉพาะกลุ่มวิชาชีพ “ครูและบุคลากรทางการศึกษา”เพียงกลุ่มเดียว มีมูลหนี้รวมกันสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่สถิติทางการเงิน แต่เป็นดัชนีชี้วัดที่สะท้อนปัญหาสังคมอย่างรุนแรง เพราะเมื่อ “แม่พิมพ์ของชาติ” ต้องแบกรับภาระหนี้สินมหาศาล ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต และปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมส่งผลต่อเนื่องไปยังคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
–เครดิตบูโรเตือน Gen Y-X แบกหนี้ท่วมหัวสัญญาณอันตรายฉุดเศรษฐกิจไทย
วิกฤติซ้อนวิกฤติ: 18 ปีแห่งการฝ่าฟันเปลวเพลิงสายน้ำและ “สึนามิหนี้”
เส้นทางการทำงานตลอด 18 ปีในฐานะ “แม่ทัพ” ของเครดิตบูโรของคุณสุรพล ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เปรียบเสมือนการเดินฝ่า “สนามรบ” ที่ไม่มีวันหยุดพัก เขาต้องประคององค์กรให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ระดับชาติครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ล้วนเป็นบททดสอบที่แสนสาหัส ทั้งภัยจากการเมือง ภัยธรรมชาติ และภัยจากนโยบายที่บิดเบี้ยว
1. การเมืองเผาเมือง: จากออฟฟิศสู่ “ป้อมปราการ” นิรนาม บททดสอบแรกเริ่มต้นขึ้นแทบจะทันทีที่คุณสุรพลก้าวเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอได้เพียง 5 วัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปี 2553 ที่ลุกลามจนกลายเป็นการจลาจลและเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ สำนักงานของเครดิตบูโรซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่บนชั้น 10 ของอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ตกอยู่ในวงล้อมของเปลวเพลิงและสถานการณ์ที่ยากจะประเมิน จนประธานบริษัทต้องโทรศัพท์มาถามด้วยความกังวลว่า “เรายังเหลืออยู่ไหม”
วิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้จบลงแค่ครั้งนั้น ในช่วงเวลาต่อมาที่มีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เครดิตบูโรกลายเป็นเป้าหมายของการถูก “ไล่ล่า” จนต้องย้ายสถานที่ทำงานหนีและปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ความปลอดภัยขั้นสูงสุด อาคารสำนักงานใหม่ถูกออกแบบให้เป็นเสมือน “ป้อมปราการลับ” ที่ไร้ป้ายชื่อบริษัท เพื่ออำพรางตัวจากผู้ไม่หวังดี
บทเรียนความรุนแรงจากต่างประเทศ ทำให้คุณสุรพลตัดสินใจยกระดับความปลอดภัยด้วยการติดตั้งกระจกกันกระสุน และที่น่าตกใจคือ “เก้าอี้พักคอย” สำหรับผู้มาติดต่อ จะต้องถูกเชื่อมเหล็กยึดติดกันเป็นแผงยาว เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถยกขึ้นมาใช้เป็นอาวุธทุ่มใส่พนักงานได้
2. มหาอุทกภัย 54: ผู้นำที่ “ควักกระเป๋า” เพื่อรักษาลมหายใจองค์กร เมื่อผ่านพ้นไฟ ก็ต้องมาเจอกับน้ำ ในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ข้อมูลราชการระบุว่าน้ำจะท่วมเพียง 30 เซนติเมตร แต่ความเป็นจริงที่หน้างานกลับท่วมสูงถึง 3 เมตร บ้านพักของคุณสุรพลเองก็จมอยู่ใต้น้ำจนต้องใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นมาทำงาน
ในสถานการณ์ที่พนักงานกว่า 30 ชีวิตไร้ที่อยู่อาศัยและเดินทางไม่ได้ คุณสุรพลตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาควักเงินสดส่วนตัวเจรจากับเจ้าของหอพักใกล้ออฟฟิศ เพื่อเช่าห้องพักรวดเดียว 30 ห้อง ให้ทีมงานได้มีที่ซุกหัวนอน เพื่อให้ระบบข้อมูลเครดิตของประเทศยังคงเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด แม้ในยามที่เมืองจมน้ำ
3. สึนามิหนี้: ภัยเงียบจากนโยบาย “รถคันแรก” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณสุรพลยอมรับว่า “กลัวที่สุด” ยิ่งกว่าไฟไหม้หรือน้ำท่วม คือภัยที่มนุษย์สร้างขึ้นจากนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะโครงการ “รถคันแรก” ที่เขานิยามว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะทางการเงิน นโยบายนี้บิดเบือนกลไกตลาดด้วยการจูงใจทางภาษี ทำให้คนที่ไม่มีความพร้อมทางการเงิน หรือแม้แต่ขับรถไม่เป็น แห่กันไปก่อหนี้เพื่อซื้อรถ ผลลัพธ์คือการก่อตัวของหนี้เสียที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งคลื่นยักษ์ เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการเครดิตบูโร ต้องประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการเป็น “ระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับสึนามิหนี้” (Early Warning for the Debt Tsunami) เพื่อคอยส่งสัญญาณอันตรายก่อนที่เศรษฐกิจของคนไทยจะพังทลายลง
พายุลูกใหม่: เมื่อ “ความเกลียดชัง” กลายเป็นนโยบายหาเสียงและกับดัก “ปิดตาปล่อยกู้”
ในขณะที่คุณสุรพล โอภาสเสถียร กำลังนับถอยหลังสู่การเกษียณอายุ สิ่งที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคหรือวิกฤติเศรษฐกิจรูปแบบเดิม แต่กลับเป็น “พายุอารมณ์” ที่ก่อตัวขึ้นจากเกมการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แม้เครดิตบูโรจะพยายามสร้างความเข้าใจให้สังคมเพียงใด แต่คุณสุรพลยอมรับความจริงที่เจ็บปวดว่า “คนรู้จักเรามากขึ้น แต่ความเกลียดชังยังเท่าเดิม หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ” ความน่ากลัวอยู่ที่เมื่อความเกลียดชังนี้ถูกนำไปขยายผลเป็นนโยบายประชานิยมเพื่อเรียกคะแนนเสียง เราจึงได้ยินวาทกรรมที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของระบบข้อมูลเครดิต ตั้งแต่ขู่ว่าจะ “เผา” “ยุบ” “แปลง” หรือทำให้เครดิตบูโรไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เพื่อเอาใจลูกหนี้ที่มีปัญหา
หายนะของระบบเกรด (AA/BB): ยาพิษที่เคลือบน้ำตาล หนึ่งในกลเกมทางกฎหมายที่คุณสุรพลชี้ว่าเป็น “อันตรายขั้นสูงสุด” คือความพยายามแก้ไขกฎหมายเพื่อ “ปิดตา” สถาบันการเงิน โดยเสนอให้เครดิตบูโร ห้ามเปิดเผยรายละเอียดหนี้สิน ของลูกหนี้ (เช่น จำนวนบัญชี ยอดหนี้คงเหลือ หรือประวัติการชำระ) แต่ให้รายงานได้เพียงแค่ “เกรด” (เช่น AA, BB, CC) เท่านั้น
หากนโยบายนี้ถูกบังคับใช้ จะเกิดสภาวะที่เปรียบเสมือน “การปิดตาปล่อยกู้” กล่าวคือ
- สถาบันการเงินจะกลายเป็นคนตาบอด: นายธนาคารจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกค้าที่เดินเข้ามาขอกู้ มีหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่แล้วหรือไม่ หรือมีบัญชีหนี้เสียซ่อนอยู่ที่ไหนบ้าง รู้เพียงแค่ว่าได้เกรดอะไร ซึ่งไม่เพียงพอต่อการประเมินความสามารถในการชำระหนี้
- การอ้างอิงที่บิดเบือน: มีการพยายามอ้างถึงระบบ FICO Score ของสหรัฐอเมริกาว่าใช้ระบบเกรดเช่นกัน แต่คุณสุรพลแย้งว่า นั่นเป็นการจับแพะชนแกะ เพราะในความเป็นจริง รายงานเครดิตของสหรัฐฯ (Credit Report) นั้นมีความยาวและรายละเอียดละเอียดยิบกว่า 70 หน้า ไม่ใช่มีแค่เกรดลอยๆ อย่างที่พยายามจะบิดเบือนกัน
ผลลัพธ์สุดท้ายของแนวคิดนี้ คือการนำพาประเทศไปสู่ความพังพินาศ เพราะเมื่อคนปล่อยกู้ไม่รู้ความเสี่ยงที่แท้จริง หนี้เสียก็จะระเบิด และระบบการเงินทั้งระบบจะล้มครืนลงมา
ยิ้มสู้ภัย… มรดกทางความคิดจาก “นายทวารการเงิน“
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ ภายใต้การนำของ คุณสุรพล เครดิตบูโรไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงห้องเก็บข้อมูล แต่คือสมรภูมิที่ต้องต่อสู้กับ “ความไม่รู้” และ “ความบิดเบี้ยว” ของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด
แม้เขาจะเคยเปรยด้วยความเหนื่อยหน่ายต่อระบบราชการไทยว่า “ยิ่งขยัน ยิ่งบรรลัย” (เพราะการขยับตัวทำสิ่งใหม่มักนำมาซึ่งแรงต้านและปัญหา) แต่ในวาระสุดท้ายของการทำงาน เขาก็ได้ส่งต่อคบเพลิงให้กับผู้นำคนใหม่ ด้วยปรัชญาการทำงานที่เปี่ยมไปด้วยพลังใจว่า “คนที่จะชนนิยมกันต้องใจมั่น ยิ้มได้เมื่อภัยมา”
นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์และคำเตือนสุดท้ายจากชายผู้เห็น “ไส้ใน” ของหนี้สินคนไทยชัดเจนที่สุด คำเตือนที่อาจเป็น “ชูชีพห่วงสุดท้าย” ให้สังคมไทยได้ตระหนัก ก่อนที่คลื่นสึนามิเศรษฐกิจลูกใหม่ที่เกิดจากความประมาทและเกมการเมือง จะถาโถมเข้าใส่ประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ครม.เศรษฐกิจ ไฟเขียว ‘Thailand FastPass’ ปลดล็อก 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท
BBLAM กางสูตรพอร์ตภาษีปี 68 ชู ‘ESG-ทอง-เทค’ ฝ่าเศรษฐกิจผันผวน




