ความเป็นส่วนตัวของคนไทยกว่า 1.2 ล้านรายกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงสุดจากการถูกเก็บข้อมูลชีวภาพที่แม่นยำที่สุดอย่าง “ม่านตา” (Iris) ภายใต้โครงการ Worldcoin ส่งผลให้รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ต้องงัดมาตรการขั้นเด็ดขาด “สั่งระงับการเก็บข้อมูลและล้างบางฐานข้อมูลม่านตา” ทั้งหมดทันที พร้อมเปิดเงื่อนงำสัญญา MOU ที่เซ็นกันไวไวเพียง 3 วันแต่นำไปสู่ธุรกิจสีเทา ล่าสุดเตรียมส่งไม้ต่อให้ DSI ขยายผลหลังพบขบวนการจ้างสแกนและค้าเหรียญเถื่อน
ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และ ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้ร่วมกันแถลงถึงมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยระบุถึงอันตรายที่แฝงมากับเทคโนโลยีล้ำสมัย
‘Worldcoin’ ตรวจสอบเทคโนโลยีสแกนม่านตา เพื่อพิสูจน์ตัวตนในยุค AI
เจาะลึกคำสั่งทางปกครองขั้นเด็ดขาด: สคส. ขีดเส้นตาย 7 วัน สกัดข้อมูลไหลออกนอกราชอาณาจักร
สาระสำคัญที่สุดของคำสั่งทางปกครองที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 มีมติส่งตรงถึงบริษัทผู้ให้บริการและเครือข่ายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง คือมาตรการขั้นสูงสุดในการคุ้มครองข้อมูล นั่นคือการสั่งให้ “ยุติการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตาทันทีและทำลายข้อมูลทิ้งทั้งระบบ” โดยวินิจฉัยแล้วว่ากระบวนการเก็บข้อมูลม่านตาในลักษณะนี้ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) อย่างร้ายแรง
พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. ได้ขยายความถึงรายละเอียดของคำสั่งทางปกครองที่มีความเข้มข้นในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชน โดยจำแนกมาตรการบังคับใช้ออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ดังนี้:
1. คำสั่งระงับถาวรและกรอบเวลา 7 วัน (Immediate Suspension) คำสั่งแรกคือการบังคับใช้กฎหมายเพื่อหยุดเลือดที่กำลังไหล โดยผู้ให้บริการจะต้อง “ระงับ” กิจกรรมการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการสแกนม่านตาเพื่อแลกรับเหรียญคริปโททั้งหมดในทันทีที่ได้รับคำสั่ง เพื่อไม่ให้เกิดผู้เสียหายเพิ่มขึ้นแม้แต่รายเดียว นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขเวลาที่เคร่งครัด โดยผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องรายงานผลการดำเนินการระงับกิจการดังกล่าวกลับมายัง สคส. ภายในระยะเวลา 7 วันเพื่อเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ใจและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม
2. ปฏิบัติการล้างบางข้อมูล 1.2 ล้านรายการ (Total Data Eradication) หัวใจสำคัญของการคุ้มครองประชาชนในครั้งนี้ คือคำสั่งให้ “ลบและทำลาย” ฐานข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมไปแล้วจากประชาชนกว่า 1.2 ล้านรายให้สิ้นซาก ไม่ว่าจะถูกจัดเก็บในรูปแบบใดก็ตาม เหตุผลสำคัญของคำสั่งนี้คือการ “ตัดวงจรข้อมูล” (Cut the Data Cycle)เพื่อป้องกันความเสี่ยงขั้นวิกฤตที่ข้อมูลอ่อนไหวเหล่านี้จะถูกลักลอบโอนย้ายถ่ายเทออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศ หรือถูกนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดมืด ซึ่งหากปล่อยให้ข้อมูลหลุดออกไปนอกราชอาณาจักร การติดตามและคุ้มครองจะทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
3. บทลงโทษขั้นสูงสุดและค่าปรับรายวัน (Maximum Penalty & Daily Fine) เพื่อเป็นหลักประกันว่าคำสั่งนี้จะศักดิ์สิทธิ์และได้รับการปฏิบัติ แหล่งข่าวระดับสูงจาก สคส. ย้ำชัดถึงมาตรการลงโทษหากมีการเพิกเฉยหรือดื้อแพ่ง โดยระบุว่าผู้ฝ่าฝืนจะต้องเผชิญกับผลทางกฎหมายที่รุนแรงที่สุด ทั้ง โทษทางอาญา ที่มีบทลงโทษถึงขั้นจำคุก และ โทษปรับทางปกครอง ที่มีเพดานสูงสุดถึง 5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการที่น่าเกรงขามที่สุดคือ “ค่าปรับรายวัน” ในอัตราวันละ 500,000 บาท ซึ่งจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ฝ่าฝืนคำสั่งและสะสมไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้ให้บริการจะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามคำสั่งโดยเร็วที่สุด
ถอดรหัสข้อกฎหมาย: ทำไม “Consent” ในคดี Worldcoin ถึงตกเป็นโมฆะ?

ในการวินิจฉัยคดีความมั่นคงทางข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนนี้ ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้ขยายความถึงหลักกฎหมายสำคัญที่นำมาสู่ข้อสรุปว่า การกระทำของโครงการ Worldcoin ในการขอความยินยอมจากประชาชนนั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยมีคำอธิบายใน 3 ประเด็นหลักที่ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดความยินยอมที่ได้มาจึงถือเป็น “โมฆะ” ดังนี้
- กับดัก “สิ่งจูงใจ” ทำลายเจตนาที่อิสระ (Lack of Freely Given Consent) ประเด็นแรกที่เป็นหัวใจสำคัญของคำวินิจฉัยคือ “ที่มา” ของความยินยอม อาจารย์ไพบูลย์ชี้ให้เห็นว่า การที่ประชาชนจำนวนมากยินยอมให้สแกนม่านตา สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากความต้องการยืนยันตัวตนด้วยความสมัครใจ แต่เกิดจากความต้องการได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ “เหรียญคริปโทเคอร์เรนซี”
ในทางกฎหมาย การใช้วัตถุสิ่งของหรือทรัพย์สินมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนถือเป็นการใช้ “สิ่งจูงใจ” (Incentive) ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจของเจ้าของข้อมูล “ขาดความเป็นอิสระ” (Not Freely Given) กรณีนี้เทียบเคียงได้กับบรรทัดฐานที่ สคส. เคยสั่งระงับแอปพลิเคชันของห้างสรรพสินค้าบางแห่ง ที่บังคับให้ลูกค้ากด “ยินยอม” เพื่อแลกกับคูปองส่วนลด ซึ่งถือว่าเจตนาในการให้ข้อมูลถูกบิดเบือนด้วยสิ่งล่อใจ ทำให้ความยินยอมนั้นตกเป็นโมฆะทันที
- การใช้ข้อมูลเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ (Purpose Limitation Violation) ประเด็นต่อมาคือความขัดแย้งระหว่าง “สิ่งที่แจ้ง” กับ “สิ่งที่ทำจริง” ผู้ให้บริการได้แจ้งวัตถุประสงค์แก่ประชาชนว่า การเก็บข้อมูลม่านตามีไว้เพียงเพื่อ “ยืนยันความเป็นมนุษย์” (Proof of Humanity) เพื่อแยกแยะบุคคลออกจากโปรแกรมอัตโนมัติเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเชิงลึกทางเทคนิคพบข้อเท็จจริงว่า “รหัสม่านตา” (Iris Code) ที่ถูกแปลงค่าไปแล้ว สามารถนำกลับมา “ระบุตัวตนบุคคล” (Identification) ได้จริง โดยมีหลักฐานชัดเจนคือ เมื่อบุคคลเดิมกลับมาสแกนซ้ำ ระบบสามารถตรวจสอบและระบุได้ทันทีว่าบุคคลนี้เคยลงทะเบียนแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีการเก็บและประมวลผลข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไว้อย่างถาวร ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลเกินกว่าขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งและขอความยินยอมไว้แต่แรก
- มาตรฐานความคุ้มครองระดับสากล (Alignment with Global Standards) นายไพบูลย์เน้นย้ำว่า คำสั่งทางปกครองในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการดำเนินการที่เกินกว่าเหตุ แต่มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับสากล โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวด
ปัจจุบัน หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล ต่างก็ได้ออกคำสั่งระงับหรือแบนโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ไปแล้ว การดำเนินการของไทยจึงเป็นการยึดตามแนวปฏิบัติสากลเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยสูงสุดของ “ข้อมูลชีวภาพ” (Biometric Data) ซึ่งเป็นข้อมูลอ่อนไหวที่ไม่ควรถูกนำมาแสวงหาผลประโยชน์โดยปราศจากการกำกับดูแลที่รัดกุม
World สยบดราม่า ‘สแกนม่านตา’ ชี้แจงทุกประเด็นร้อน ย้ำความปลอดภัยไม่ใช่การยืนยันตัวตน
สัญญาณเตือนภัยจาก รมว.ดีอี: เมื่อ “ม่านตา” คือกุญแจชีวิตดอกเดียวที่ไม่อาจเปลี่ยนแม่กุญแจได้

ในท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของเทคโนโลยี ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สะท้อนมุมมองที่สำคัญต่อกรณีการเก็บข้อมูลม่านตา โดยชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความล้ำสมัย โดยย้ำจุดยืนชัดเจนว่า “เทคโนโลยีไม่ใช่ผู้ร้าย” การวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือธรรมชาติของ “ข้อมูลชีวภาพ” (Biometric Data) ที่เมื่อสูญเสียไปแล้ว ผลกระทบนั้นจะคงอยู่ถาวรตลอดชีวิต
รัฐมนตรีดีอีได้จำแนกความน่ากลัวของสถานการณ์นี้ออกเป็น 3 ประเด็นสำคัญ คือ
- “ม่านตา” คืออัตลักษณ์สูงสุดเทียบเท่ารหัสพันธุกรรม รมว.ไชยชนกเปรียบเปรยว่า ม่านตาไม่ใช่แค่ข้อมูลทั่วไป แต่มันคือ “ID ที่สูงที่สุด” ของมนุษย์ มีความซับซ้อนและแม่นยำในการระบุตัวตนยิ่งกว่าลายนิ้วมือ และมีสถานะเทียบเท่ากับ DNA ซึ่งไม่มีวันซ้ำกันในมนุษย์แต่ละคน เปรียบเสมือนรหัสผ่านทางชีวภาพที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้เฉพาะบุคคล และเป็นกุญแจดอกสุดท้ายในการเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง
- ความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาด้วยการ “เปลี่ยนใหม่” (Irreversible Damage) ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือข้อจำกัดทางกายภาพในการแก้ไขปัญหาหากข้อมูลรั่วไหล รัฐมนตรีดีอีได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า หากรหัสผ่าน (Password) รั่วไหล เจ้าของบัญชีสามารถตั้งค่าใหม่ได้ทันที หากหมายเลขโทรศัพท์ถูกคุกคาม สามารถระงับและเปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ได้ แต่สำหรับ “ม่านตา” หากข้อมูลชุดนี้ถูกจารกรรมหรือทำสำเนาเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ปลอดภัย เจ้าของข้อมูลจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทางกายภาพได้เลย ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจะติดตัวเจ้าของข้อมูลไปในระยะยาวอย่างไม่มีทางแก้
- หายนะในโลกอนาคต: เมื่อ 1.2 ล้านคนไทยกลายเป็น “เป้านิ่ง” ท่านรัฐมนตรียังมองข้ามช็อตไปถึงบริบทโลกในอนาคต หากวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีหมุนไปสู่ระบบ One World ID หรือการที่สถาบันการเงินและแพลตฟอร์มระดับโลกหันมาใช้ “ม่านตา” เป็นมาตรฐานหลักในการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรม
หากวันนั้นมาถึง ประชาชนกว่า 1.2 ล้านคน ที่ถูกเก็บข้อมูลไปแล้ว จะกลายเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงสุดทันที เพราะ “กุญแจดอกสำคัญ” ในการเข้าถึงสินทรัพย์และตัวตนของพวกเขา ได้ตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่สาม หรือถูกจัดเก็บในที่ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกสวมรอยทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดายในอนาคต
เปิดปฏิบัติการล่า “ม้าสแกนตา”: เมื่ออัตลักษณ์ถูกซื้อขาย สู่การขยายผลทลายเครือข่ายธุรกิจสีเทา
นอกเหนือจากคำสั่งระงับการเก็บข้อมูลม่านตาที่ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนแล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้ยังได้เปิดเผยให้เห็น “ความผิดปกติ” ในมิติที่ลึกซึ้งและอันตรายยิ่งกว่า นั่นคือร่องรอยของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ทำกันเป็นขบวนการ โดยจากการสืบสวนเชิงลึกร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) ได้ตรวจพบพฤติการณ์ที่น่ากังวล 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
- กำเนิด “ม้าสแกนตา”: เมื่ออัตลักษณ์บุคคลกลายเป็นสินค้าในตลาดมืด เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบโมเดลการกระทำความผิดรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ขบวนการจ้างสแกนม่านตา” หรือที่เรียกกันในวงการว่า “ม้าสแกนตา” ซึ่งมีพฤติการณ์คล้ายคลึงกับ “บัญชีม้า” ที่ใช้ในวงการมิจฉาชีพทางการเงิน
ขบวนการนี้จะใช้วิธีการว่าจ้างประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ให้มาทำการสแกนม่านตาเพื่อแลกกับค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย แต่ในขั้นตอนการลงทะเบียน สิทธิ์ในการเข้าถึงบัญชีและกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) กลับตกเป็นของผู้ว่าจ้างหรือนายหน้าแต่เพียงผู้เดียว ผลที่ตามมาคือ กลุ่มขบวนการสามารถนำบัญชีเหล่านี้ไปแสวงหาผลประโยชน์ต่อได้ทันที เช่น การรอรับเหรียญปันผลรายเดือน หรือการนำบัญชีที่ยืนยันตัวตนแล้วไปขายต่อให้กับบุคคลที่สาม ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในการฟอกเงินหรือประกอบอาชญากรรมอื่นๆ โดยที่เจ้าของม่านตาตัวจริงไม่สามารถควบคุมบัญชีของตนเองได้
- ธุรกิจแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเถื่อน (Unauthorized Digital Asset Business) นอกจากการหลอกเอาข้อมูลอัตลักษณ์แล้ว เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีการตั้งจุดรับแลกเหรียญดิจิทัล (Worldcoin) เป็นเงินสดโดยไม่ผ่านผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการประกอบธุรกิจเถื่อน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้เริ่มดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำผิดในลักษณะนี้ไปแล้วหลายราย
ยกระดับสู่ “คดีพิเศษ”: ส่งไม้ต่อ DSI และ ปปง. เช็กบิลเส้นทางการเงิน จากพฤติการณ์ที่ซับซ้อนและมีลักษณะเป็นเครือข่ายอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จึงเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ส่งต่อให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อรับช่วงต่อในการสืบสวนสอบสวนเชิงลึก โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบ เส้นทางการเงิน (Money Trail) และขยายผลเพื่อทลายเครือข่ายผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป
การตรวจสอบบันทึกความเข้าใจ (MOU): ข้อพิรุธเรื่องกรอบเวลาและเนื้อหาโครงการที่สุ่มเสี่ยง
รมว.ไชยชนก เปิดเผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับปัญหาที่ลงนามระหว่างกระทรวงดีอี (ในสมัยคณะผู้บริหารชุดก่อน) กับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC โดยผลการตรวจสอบพบความผิดปกติในสาระสำคัญหลายประการ ซึ่งเป็นมูลเหตุจูงใจนำไปสู่การสั่งยกเลิก MOU ฉบับดังกล่าว และส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกต่อไป โดยมีรายละเอียดข้อสังเกตที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้:
- กระบวนการดำเนินการที่รวดเร็วผิดวิสัย (Unusual Procedural Speed) จากการตรวจสอบลำดับเหตุการณ์พบข้อสังเกตสำคัญเรื่องกรอบเวลาในการดำเนินการที่ “รวดเร็วผิดปกติ” กล่าวคือ กระบวนการเสนอเรื่องเพื่อพิจารณาไปจนถึงขั้นตอนการลงนามเสร็จสิ้น ใช้เวลาดำเนินการเพียง 3 วัน เท่านั้น (ระหว่างวันที่ 25-27 มีนาคม 2567) ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่สั้นกว่าขั้นตอนปกติของทางราชการในการทำความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งรัดในขั้นตอนการพิจารณาตรวจสอบเอกสาร
- การสอดไส้เนื้อหาโครงการที่มีความเสี่ยง (Risky Project Content) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของโครงการภายใต้กรอบความร่วมมือที่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทดสอบนวัตกรรม หรือ Sandbox พบว่ามีข้อเสนอทางธุรกิจที่แอบแฝงกิจกรรมที่ยังไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายไทย หรือเป็นกิจกรรมทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงปรากฏอยู่ด้วย อาทิ
การพนันออนไลน์ (Sport Betting): ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย
การเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) และอนุพันธ์ทางการเงิน: ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ต้องได้รับการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานเฉพาะทาง การปรากฏของกิจกรรมเหล่านี้ใน MOU ชี้ให้เห็นว่าวัตถุประสงค์ของโครงการอาจไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อสาธารณประโยชน์เพียงอย่างเดียว
- การนำเอกสารไปใช้สร้างเครดิตทางธุรกิจ (Misuse for Business Credibility) แม้ในตัวบทของ MOU จะมีข้อความระบุชัดเจนว่า “ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย” (Non-legally binding) แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า คู่สัญญาได้นำภาพลักษณ์ความร่วมมือกับภาครัฐและเอกสาร MOU ฉบับนี้ ไปใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโครงการของตน ส่งผลให้ประชาชนและนักลงทุนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าโครงการดังกล่าวได้รับการรับรองหรือสนับสนุนจากรัฐบาลไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การบังคับใช้กฎหมายเพื่อวางรากฐานมาตรฐานความปลอดภัยทางดิจิทัล
ปฏิบัติการร่วมระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และหน่วยงานพันธมิตรในครั้งนี้ มิใช่เพียงการบังคับใช้กฎหมายตามตัวอักษรเท่านั้น แต่เป็นการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อคุ้มครอง “สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ของประชาชน และยึดหลักการ “ป้องกันไว้ก่อน” (Precautionary Principle)เพื่อสกัดกั้นความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ทั้งนี้ ภาครัฐขอยืนยันเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า มาตรการดังกล่าว “มิได้มีเจตนาปิดกั้นความก้าวหน้าทางนวัตกรรม” แต่อย่างใด ตรงกันข้าม รัฐบาลยังคงให้การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพียงแต่การพัฒนานั้นจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ (Responsible Technology) โดยต้องดำเนินงานภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด และยึดมั่นในหลักจริยธรรมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้
สำหรับภารกิจสำคัญเร่งด่วนในลำดับถัดไป คือการติดตามและตรวจสอบกระบวนการ “ลบและทำลายข้อมูล” ให้เสร็จสิ้นตามคำสั่งทางปกครองอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับเจ้าของข้อมูล และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของระบบนิเวศดิจิทัลไทยให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
เจาะลึก ‘วัฒนธรรมหนี้ไทย’ ผ่านเลนส์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม โดยรศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์
ครม.เศรษฐกิจ ไฟเขียว ‘Thailand FastPass’ ปลดล็อก 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท




