สัปดาห์ก่อน สภาพัฒน์รายงานว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ขยายตัว 1.2% ปีนี้ทั้งปีคาดว่า GDP จะขยายตัว 2.0% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2569 สภาพัฒน์คาดว่า GDP จะขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.2-2.2% เท่านั้น
ต้องยอมรับว่ากว่า 3 ทศวรรษที่เศรษฐกิจของไทยไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เหมือนรถยนต์เก่า ๆ ที่ต้องอาศัยการเข็นให้ติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะมีบางช่วงบางเวลาที่ดูเหมือนจะไปได้ คือ GDP เติบโต ส่งออกขยายตัว ท่องเที่ยวคึกคัก หนี้เสียลดลง แต่ไม่นานเครื่องยนต์ก็สะดุดเป็นระยะ ๆ เศรษฐกิจชะลอตัว การลงทุนหดหาย และปัญหาเดิม ๆ ย้อนกลับมาใหม่
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่เรียกว่า “วงจรอุบาทก์เศรษฐกิจไทย” กลายเป็นกับดักทำให้ประเทศไม่พัฒนา
วงจรแรก “ประชานิยม” เริ่มต้นจากพรรคการเมืองใช้เป็นนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย “คะแนนนิยมจากประชาชน” มากกว่าผลลัพธ์ระยะยาว ต่อมารัฐบาลแทบทุกยุคต่างเสพติดในการเลือกตั้ง ทุกครั้งต้องมีนโยบายประชานิยม ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค ดิจิทัลวอลเลต คนละครึ่ง หรือพักหนี้เกษตรกร รวมถึงนโยบายคนละครึ่งพลัส เป็นต้น
มาตรการเหล่านี้อาจจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นๆ เม็ดเงินที่ใส่เข้าไปทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อชั่วคราว แต่ในระยะยาวกลับสร้างภาระการคลังมหาศาล รัฐต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อรักษานโยบายให้ต่อเนื่อง หนี้สาธารณะจึงพุ่งเกือบๆ 65% ของจีดีพี จากเพดานเงินกู้ 70% ของจีดีพี งบประมาณประจำปีก็ถูกใช้ไปกับเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการ มากกว่านำมาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหรืองานวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศระยะยาว
เมื่อรายได้ไม่พอ รัฐก็ต้องเพิ่มภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีสุรา ยาสูบ หรือภาษีคาร์บอนเครดิต นี่คือวงจรที่รัฐแจกเงินแล้วเก็บคืนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้บริโภคที่เป็นฐานล่างมากที่สุด
วงจรที่ 2 “ทุนผูกขาด” เป็นอีกหนึ่งวงจรอุบาทก์ในสังคมไทยโดยมีรัฐเอื้อประโยชน์ ทำให้มีการแข่งขันต่ำเพราะเศรษฐกิจไทยถูกครอบงำจากกลุ่มทุนใหญ่ที่ผูกขาดไม่กี่กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นทุนพลังงาน ทุนค้าปลีก ทุนโทรคมนาคม หรือทุนอสังหาริมทรัพย์ การแข่งขันทางธุรกิจจึงจำกัดอยู่ไม่กี่กลุ่มไม่กี่ตระกูล ธุรกิจใหม่ ๆ เข้าไม่ถึงตลาด กติกาต่าง ๆ ก็ออกแบบมาเอื้อให้กับทุนใหญ่เท่านั้น ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยจึงเติบโตช้า หรือมิเช่นนั้นก็ถูกบังคับให้อยู่ในซัพพลายเชนของกลุ่มทุนใหญ่
กลุ่มทุนผูกขาดทำให้เศรษฐกิจไทย “โตบนยอดปิรามิด” รายได้ไหลกลับเข้าสู่กระเป๋ากลุ่มทุนใหญ่ ขณะที่รายย่อยซึ่งเป็นฐานล่างขยายตัวช้า ความเหลื่อมล้ำในทางธุรกิจจึงถ่างกว้างและลึกขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อความเหลื่อมล้ำมากขึ้น กำลังซื้อในประเทศก็หดตัวทำให้เศรษฐกิจโดยรวมหมุนช้าลง
วงจรที่ 3 “ระบบราชการขนาดใหญ่” การที่ระบบข้าราชการมีขนาดใหญ่เกินไปส่งผลให้การอนุมัติล่าช้า อันที่จริง “รัฐไทยไม่ใช่รัฐยากจน” แต่เป็นรัฐที่บริหารเงินไม่ทันโลก แม้งบประมาณรายจ่ายของประเทศจะสูงกว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปี แต่ระบบราชการรวมศูนย์อำนาจและล่าช้า ทำให้หลายโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน การอนุมัติล่าช้า เบิกจ่ายงบต่ำ และโครงการจำนวนมากสิ้นสุดด้วย “งบบาน งานล่าช้า ผลสัมฤทธิ์ต่ำ”
ในยุคที่โลกแข่งขันด้วยความเร็ว ระบบราชการยังทำงานด้วยวัฒนธรรม “ทำเท่าที่ระเบียบอนุญาต” มากกว่า “ทำเท่าที่สังคมต้องการ” ผลที่ตามมาคือประเทศสูญเสียโอกาสการลงทุนจากต่างชาติและไม่สามารถเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้จริง
วงจรที่ 4 “การศึกษาไม่ตอบโจทย์แรงงานทักษะต่ำ-ค่าจ้างไม่โต” แม้ประเทศไทยจะผลิตบัณฑิตปีละกว่า 3 แสนคน แต่ตลาดแรงงานกลับขาดแคลนแรงงานทักษะสูงอย่างหนัก ระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำและสอบแข่งขัน ทำให้แรงงานไทยไม่พร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ ผลที่ตามมา ค่าจ้างแรงงานไทยไม่ขยับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การที่ค่าจ้างไม่โตทำให้คนไทยขาดแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือ และเมื่อแรงงานไม่มีทักษะ ธุรกิจก็ไม่มีแรงผลักดันในการลงทุนด้านเทคโนโลยี วงจรนี้จึงหมุนซ้ำๆ และพาประเทศติดอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” มานานกว่า 2 ทศวรรษ
วงจรที่ 5 “การเมืองไม่มั่นคงนโยบายเปลี่ยนความเชื่อมั่นหด” เสถียรภาพทางการเมืองกลายเป็นจุดอ่อนเรื้อรังของไทย ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายเศรษฐกิจจะถูกปรับเปลี่ยนตามแนวคิดของผู้มีอำนาจใหม่ ผลคือภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ ความเชื่อมั่นลดลง การลงทุนจึงไหลไปประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม เมื่อการเมืองไม่มั่นคง ในเชิงเศรษฐกิจก็ไม่สามารถวางยุทธศาสตร์ได้จริง โครงการสำคัญๆ ที่ควรจะต่อเนื่อง เช่น รถไฟทางคู่หรือพลังงานสะอาด จึงต้องเริ่มใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล
วงจรสุดท้าย“ทุจริตคอร์รัปชัน” ถือเป็นวงจรอุบาทก์ร้ายแรงที่สุดแทรกอยู่ในทุกภาคส่วน ทุกองค์กรสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการเกือบจะทุกหน่วยงานไม่ว่าตำแหน่งใหญ่หรือเล็ก มีการประเมินแต่ละปีมีการทุจริตในวงราชการกว่า 5 แสนล้านบาท การทุจริตคอร์รัปชันแพร่กระจายไม่เว้นแม้แต่วงการสงฆ์ มีทุจริตเงินทอน เงินบริจาค บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น ก็โกงผู้ถือหุ้น นักลงทุนรายย่อย
การทุจริตจึงถือเป็นวงจรอุบาทก์ร้ายแรงที่สุด เพราะทำให้เงินภาษีรั่วไหล โครงการรัฐไร้ประสิทธิภาพ ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นและการแข่งขันไม่เป็นธรรม ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้า นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น นวัตกรรมไม่เกิด และทรัพยากรถูกนำไปใช้ผิดทาง สุดท้ายประเทศติดกับดักการพัฒนาไปไม่ถึงไหน
วงจรอุบาทก์ทั้งหมดนี้ ทำให้ไทยอยู่ใน “ห่วงโซ่แห่งความถดถอย” เริ่มจากเศรษฐกิจชะลอ รัฐบาลใช้นโยบายแจกเงิน ส่งผลหนี้สาธารณะเพิ่ม รัฐต้องลดงบลงทุน ระบบราชการทำงานล่าช้า นักลงทุนหาย การจ้างงานซบเซา ประชาชนรายได้น้อย รัฐต้องแจกเงินอีก วนลูปอยู่อย่างนี้
นี่คือกลไกที่ถูกสร้างภาพการเติบโตระยะสั้นๆ แต่ทำลายความเชื่อถือระยะยาว
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
รัฐบาลชั่วคราว ‘4+4 เดือน’ ต้องทำอะไร?
เศรษฐกิจไทย ในอุ้งมือ ‘ขบวนการสแกมเมอร์’
รายได้ไม่พอรายจ่าย… ระเบิดเวลาลูกใหม่




