สถิติหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเสียดฟ้า ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับ “ความเปราะบาง” ที่ซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรแห่งตัวเลข ความท้าทายสำคัญที่สุดของระบบเศรษฐกิจและการเงินไทยในเวลานี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การตั้งคำถามว่า “หนี้ท่วมแค่ไหน” แต่ต้องถามลึกลงไปว่า เหตุใดมาตรการแก้หนี้จำนวนมหาศาลที่ระดมออกมาตลอดทศวรรษ กลับยังไม่สามารถหยุดยั้งวงจรหนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ?
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนองานวิจัยชิ้นสำคัญในหัวข้อ “Designing Debt Policies that Work” ในงานเสวนาครบรอบ 20 ปีเครดิตบูโร ซึ่งเป็นการ ถอดรหัสพฤติกรรมลูกหนี้ผ่านข้อมูลเชิงลึกและการทดลองจริง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าทางรอดของวิกฤตหนี้ไทย ไม่ได้อยู่ที่เม็ดเงินเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความเข้าใจใน “จิตวิทยา” และ “วิถีชีวิต” ของคนเดินดินอย่างถ่องแท้
ภาพลวงตาของหนี้เสีย: ภูเขาน้ำแข็งที่ซ่อนเร้นภายใต้ผิวน้ำ
ดร.โสมรัศมิ์ ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญที่สั่นคลอนความเชื่อเดิมเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนไทย โดยชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอย่างชัดเจน จากเดิมเมื่อราว 10 ปีก่อน ในจำนวนผู้กู้ 6 คน จะพบผู้ประสบปัญหาหนี้เสียหรือ NPL เพียง 1 คนเท่านั้น แต่ภายหลังจากมรสุมวิกฤติโรคระบาดพัดผ่าน สัดส่วนดังกล่าวได้พุ่งทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลายเป็น 1 ใน 5 ของผู้กู้ในระบบ หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะหนี้เสีย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขหนี้เสียที่ปรากฏนี้เปรียบเสมือนเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น ทว่าสิ่งที่น่ากังวลอย่างแท้จริงกลับเป็นมวลน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำ ซึ่งหมายถึงกลุ่มลูกหนี้ที่ในทางสถิติอาจยังไม่ถูกนับว่าเป็นหนี้เสีย แต่ในทางพฤติกรรมกำลังตกอยู่ในสภาวะปริ่มน้ำอย่างน่าเป็นห่วง โดยงานวิจัยเชิงลึกชิ้นนี้ได้จำแนกกลุ่มเปราะบางดังกล่าวออกเป็น 2 ประเภทหลัก เริ่มจากกลุ่มเสี่ยง หรือ At Risk ซึ่งเป็นกลุ่มที่ภายนอกดูเหมือนยังสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดการชำระเงินจะพบว่ายอดเงินที่จ่ายไปนั้นแทบจะไม่สามารถตัดลดเงินต้นได้เลย หรือตัดได้น้อยมากจนน่าใจหาย
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มตึงตัวขั้นวิกฤติ หรือ Constraint at Risk ที่มีสถานะทางการเงินตึงตัวจนถึงขีดสุด โดยสามารถชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ยเพื่อเลี้ยงสภาพหนี้ไว้เท่านั้น ขณะที่ศักยภาพในการก่อหนี้เพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งนี้ ดร.โสมรัศมิ์ ได้เน้นย้ำข้อเท็จจริงที่น่าตื่นตระหนกว่า เมื่อนำสัดส่วนของทั้งสองกลุ่มนี้มารวมกัน จะพบว่ามีจำนวนสูงถึงร้อยละ 38 ของลูกหนี้ทั้งหมด โดยกลุ่มคนเหล่านี้มักกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรในต่างจังหวัด ซึ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่พร้อมจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นหนี้เสียได้ทันทีหากต้องเผชิญกับวิกฤติซ้ำซ้อนในอนาคต
ทำไม “ยาขนานเดิม” จึงไม่อาจรักษาโรคร้ายให้หายขาด?

ในมุมมองของนักวิจัย ดร.โสมรัศมิ์ ได้ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อประสิทธิภาพของเครื่องมือแก้หนี้แบบดั้งเดิมที่สังคมคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring) หรือโครงการคลินิกแก้หนี้ (Debt Clinic) ว่าแท้จริงแล้ว มาตรการเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้สัมฤทธิผลอย่างยั่งยืน หรือเป็นเพียงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้เปิดเผยความจริงอันเจ็บปวดที่ชี้ชัดว่า แม้มาตรการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จในเชิงปริมาณด้วยการดึงลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือได้เป็นจำนวนมาก แต่ในเชิงคุณภาพกลับปรากฏสถิติความล้มเหลวที่น่าตกใจ โดยเฉพาะเมื่อติดตามผลลัพธ์ในระยะยาวจะพบร่องรอยของปัญหาที่ยังไม่ถูกแก้ไข
กล่าวคือ ในกลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (Pre-emptive Group) ซึ่งแม้จะได้รับการช่วยเหลือล่วงหน้าเพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ แต่กลับพบว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 12 ถึง 18 เดือน มีลูกหนี้กลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 10 ถึง 20 ที่กลับมาผิดนัดชำระหนี้ซ้ำ (Re-default) อีกครั้ง
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสถานการณ์ในกลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียแล้ว (Troubled Debt Group) เพราะข้อมูลบ่งชี้ว่า หลังจากลูกหนี้กลุ่มนี้ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้จนสถานะทางการเงินกลับมาเป็นปกติ กลับมีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 40 ถึง 50 ที่วนกลับไปสู่วังวนของการเป็นหนี้เสียซ้ำรอยเดิม ตัวเลขเกือบครึ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าวิธีการรักษาแบบเดิมอาจไม่ได้ผลชะงัดเท่าที่ควร
สาเหตุหลักที่ทำให้ “ยาเก่า” รักษาโรคไม่หายขาด เกิดจากการออกแบบนโยบายในลักษณะ “เสื้อโหล” (One Size Fits All) คือการใช้กฎเกณฑ์มาตรฐานชุดเดียวบังคับใช้กับลูกหนี้ทุกคนโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของวิถีชีวิต โดยเฉพาะการขาดความเข้าใจในบริบทเรื่อง “ความไม่สม่ำเสมอของรายได้” (Irregular Income) ของลูกหนี้กลุ่มเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งมักมีกระแสเงินสดเข้ามาเป็นฤดูกาลหรือมีความผันผวนสูง แต่เงื่อนไขการชำระหนี้กลับถูกกำหนดให้ต้องจ่ายคืนแบบรายเดือนอย่างตายตัว ความไม่สอดคล้อง (Mismatch) ระหว่างวิถีการหารายได้กับเงื่อนไขการจ่ายหนี้นี้เอง คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาตรการแก้หนี้แบบเดิมล้มเหลวในท้ายที่สุด
ปฏิบัติการ “Last Mile”: ไขความลับพฤติกรรมลูกหนี้ด้วยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
จุดเปลี่ยนที่นับเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ คือการยกระดับจากการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขบนกระดาษ ก้าวไปสู่การทดลองทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Experiment) ในพื้นที่จริง โดย ดร.โสมรัศมิ์ และคณะทำงาน ได้ผนึกกำลังกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อค้นหาคำตอบของโจทย์ที่ท้าทายที่สุดว่า “สิ่งใดคือแรงจูงใจที่แท้จริง ที่จะสามารถปลุกกระตุ้นให้ลูกหนี้ลุกขึ้นมาจัดการหนี้สินของตนเอง?”
คณะผู้วิจัยได้ออกแบบกลไกการทดลอง 3 รูปแบบเพื่อทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของเกษตรกร โดยใช้บริบทของมาตรการพักหนี้ที่รัฐบาลช่วยรับภาระดอกเบี้ยให้เป็นสนามทดลอง ซึ่งมีนัยสำคัญว่า หากลูกหนี้มีการชำระเงินเพิ่มเติมเข้ามาในช่วงนี้ เงินจำนวนดังกล่าวจะถูกนำไป “ตัดเงินต้น” ทั้งหมดทันที ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองมีความน่าสนใจและสะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ดังนี้
เริ่มจากการทดสอบเรื่อง การสื่อสารที่เข้มข้น (Intensive Communication) ทีมงานได้เน้นการสื่อสารเชิงรุกเพื่อแจ้งสิทธิประโยชน์ให้ชัดเจนที่สุดว่า “หากจ่ายตอนนี้ จะตัดต้นเงินทันที” แต่ผลปรากฏว่าวิธีการนี้ แทบไม่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรม ของลูกหนี้ได้เลย สะท้อนให้เห็นว่าลำพังเพียงการ “รับรู้” ข้อมูล ไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้เกิดการ “ลงมือทำ”
ต่อมาคือการทดลองใช้กลไก ชำระหนี้มีโชค (Financial Incentive) ซึ่งเป็นการนำหลักจิตวิทยาเรื่องการเสี่ยงโชคมาประยุกต์ใช้ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า “ทุกการชำระหนี้ 1,000 บาท จะได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัล” กลไกนี้พบว่าช่วยกระตุ้นให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ได้ “ลึกขึ้น” กล่าวคือสามารถตัดเงินต้นได้มากขึ้นประมาณร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับกลุ่มปกติ เนื่องจากตัวรางวัลทำหน้าที่สร้างแรงจูงใจและก่อให้เกิดพันธะสัญญาทางใจ (Commitment) ในการออมเงินเพื่อชำระหนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ค้นพบว่าเป็น “พระเอกตัวจริง” ของการแก้หนี้ในครั้งนี้คือมาตรการ ธนาคารใกล้บ้าน (Convenience & Accessibility) การส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปรับชำระหนี้ถึงชุมชนสามารถแก้ไขจุดเจ็บปวด (Pain Point) เรื่องต้นทุนแฝงได้อย่างชะงัด เพราะในความเป็นจริงเกษตรกรต้องแบกรับภาระค่าเดินทางเฉลี่ยสูงถึง 600 บาทต่อครั้ง ในการเดินทางไปติดต่อธนาคาร เมื่อสามารถขจัดอุปสรรคด้านการเดินทางนี้ได้ พวกเขาจึงมีความถี่ในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่า และส่งผลให้ยอดเงินต้นลดลงได้มากถึง ร้อยละ 22-23 ต่อปี ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดในการทดลองครั้งนี้
ถึงเวลาปฏิรูป “วิธีคิด” ของสถาบันการเงิน สู่การแก้หนี้ที่ยั่งยืน
ดร.โสมรัศมิ์ ได้สรุปบทเรียนสำคัญที่เป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของการแก้ปัญหาหนี้สิน โดยระบุว่าความสำเร็จของการแก้หนี้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แบบของการออกแบบนโยบายจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่หัวใจสำคัญกลับถูกฝากไว้ที่กลไกที่เรียกว่า “Last Mile” หรือ “กิโลเมตรสุดท้าย” ซึ่งหมายถึงกระบวนการนำนโยบายเหล่านั้นลงสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับพฤติกรรมหน้างานของลูกหนี้อย่างแท้จริง
ดังนั้น สถาบันการเงินในยุคแห่งอนาคต จำเป็นต้องก้าวข้ามบทบาทเดิมที่เป็นเพียง “เจ้าหนี้” ผู้รอรับดอกเบี้ย ไปสู่การปรับบทบาทใหม่ในฐานะ “พี่เลี้ยงทางการเงิน” ที่พร้อมจะเดินเคียงข้างลูกหนี้ โดยยึดหลักการทำงาน 3 ประการที่สอดประสานกัน เริ่มจากการมีความ เข้าใจชีวิต ด้วยการออกแบบสัญญาที่มีความยืดหยุ่นหรือ Flexible Contract ให้สอดรับกับกระแสเงินสดที่ “ไม่แน่นอน” ของลูกหนี้ เพื่อไม่ให้งวดการชำระหนี้กลายเป็นภาระที่บีบคั้นจนเกินศักยภาพตามฤดูกาลรายได้
ควบคู่ไปกับ การเข้าถึงที่ง่าย โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนแฝงในการชำระหนี้ให้กับประชาชน เปลี่ยนจากการตั้งรับอยู่ที่สาขา มาเป็นการทำงานเชิงรุกเข้าหาลูกหนี้เพื่อขจัดอุปสรรคด้านการเดินทาง และประการสุดท้ายคือการ สร้างแรงจูงใจ โดยนำกลไกทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างวินัยทางการเงินอย่างสร้างสรรค์ เช่น การใช้การลุ้นโชคมาเป็นแรงกระตุ้น หรือการสร้างพันธะสัญญาทางสังคม (Social Commitment) เพื่อให้การชำระหนี้เป็นเรื่องที่น่ากระตือรือร้นยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ดร.โสมรัศมิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “นโยบายที่ถูกดีไซน์มาดีเพียงใดก็ตาม หากปราศจากสถาบันการเงินที่เข้ามาช่วยจัดการในเรื่อง Last Mile ของลูกหนี้ ความสำเร็จที่วาดหวังไว้ก็ยากที่จะเกิดขึ้นจริง” นี่คือเสียงสะท้อนจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่า ทางออกจากกับดักหนี้ครัวเรือนไทยนั้นมีอยู่จริง ขอเพียงทุกภาคส่วนกล้าที่จะ “เปลี่ยนวิธีคิด” และลงมือทำด้วยความเข้าใจใน “ความเป็นมนุษย์” ของลูกหนี้ มากกว่าการมองพวกเขาเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ปลื้ม ‘เดอะ เรสซิเดนเซส’ กวาดยอดขาย 95%
ครม.เศรษฐกิจ ไฟเขียว ‘Thailand FastPass’ ปลดล็อก 80 โครงการ มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท




