Share on
×

Share

หนี้ลดภาพลวงตา SCB EIC ชี้วิกฤติ ‘คนหมดแรงกู้’ ลามชนชั้นกลาง

หนี้ลดภาพลวงตา SCB EIC ชี้วิกฤติ ‘คนหมดแรงกู้’ ลามชนชั้นกลาง

ในโลกของเศรษฐศาสตร์ ตัวเลขมักถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพของประเทศ แต่บางครั้งตัวเลขเหล่านั้นก็อาจเป็นภาพลวงตาที่ซ่อนปัญหาไว้เบื้องหลัง ล่าสุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) นำโดย ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค และ ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ได้เปิดเผยข้อมูลชุดสำคัญผ่านเลนส์ของ “เครดิตบูโร” ที่ชวนให้เราต้องหยุดคิดและทบทวนความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ วิกฤติหนี้สินของคนไทย

แม้ตัวเลข “สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP” จะปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ 95% เหลือ 86% แต่นี่ไม่ใช่ข่าวดีอย่างที่คิด แต่มันคือปรากฏการณ์ “Unhealthy Deleveraging” หรือการลดหนี้แบบสุขภาพแย่ ซึ่งสะท้อนความจริงที่น่ากังวลว่า เศรษฐกิจฐานรากกำลังอ่อนแรงจนถึงขีดสุด

ความจริงหลังตัวเลข: หนี้ลดเพราะคน “หมดแรงกู้”

ดร.ฐิติมา ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่สัดส่วนหนี้ลดลงในรอบนี้ แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจดีจนคนมีเงินไปใช้หนี้ แต่เกิดจาก “สินเชื่อที่หดตัว” สถาบันการเงินเริ่มไม่ปล่อยกู้เพราะความเสี่ยงสูง ในขณะเดียวกัน รายได้ของคนไทยก็กำลังถดถอย ข้อมูลครึ่งปีแรกชี้ชัดว่ารายได้เฉลี่ยลดลงถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สมการนี้จึงนำไปสู่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง: หนี้ลดลง + สินเชื่อใหม่ไม่โต + รายได้หดหาย = ความสามารถในการชำระหนี้ที่เปราะบางลง

ยิ่งเมื่อเจาะลึกดูข้อมูลจากเครดิตบูโร (NCB) เราพบตัวเลขที่น่าตกใจว่า หนี้เสีย (NPL) ได้ทะลุ 1 ล้านล้านบาทไปแล้ว และยังมีหนี้ที่ต้องปรับโครงสร้าง (TDR) อีกกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าปัญหาหนี้เสียกำลังลุกลามเร็วกว่าที่กระบวนการแก้หนี้จะตามทัน

วิกฤติ “กลุ่มสีส้ม”: เมื่อความพยายามแก้หนี้อาจยังไม่ใช่ทางรอด

ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดจากการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 7 ปี ของ ดร.ฐิติมา คือประสิทธิภาพของการแก้หนี้

SCB EIC พบข้อเท็จจริงที่น่ากังวลว่า จากลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ทั้งหมด มีเพียง 23% เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ในบรรดาคนที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว มีเพียง 15% เท่านั้นที่ “รอดจริง” (สามารถกลับมาชำระหนี้ได้สม่ำเสมอเกิน 6 เดือน)

แล้วคนที่เหลือหายไปไหน? คำตอบอยู่ที่ “กลุ่มสีส้ม” ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีสัดส่วนถึง 72% ของคนที่พยายามกลับตัว คนกลุ่มนี้คือผู้ที่พยายามปรับโครงสร้างหนี้ พยายามสู้ แต่สุดท้ายก็ “กลับไปเสียใหม่” หรือไม่สามารถกลับมาชำระได้ปกติ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้ Non-bank และเกษตรกร ตัวเลขนี้ฟ้องว่า มาตรการแก้หนี้ที่ผ่านมาอาจยังไม่ตอบโจทย์ และมีคนจำนวนมหาศาลที่ “สู้แล้วแต่ไปไม่รอด”

สัญญาณอันตรายใหม่: “คนรวยเริ่มสะเทือน” และระเบิดเวลา “Waiting to Default”

ทางด้าน ดร.ปุณยวัจน์ได้สะท้อนภาพกระจกอีกบานจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 2,000 ราย ซึ่งเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างปัญหาหนี้ที่น่าตกใจ 2 ประการ

  1. ไฟลามสู่คนรายได้สูง จากเดิมที่กลุ่มรายได้เกิน 1 แสนบาทมักถูกมองว่า “ลอยตัว” เหนือปัญหา แต่ปีล่าสุดพบว่า คนกลุ่มนี้เริ่มส่งสัญญาณผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น สะท้อนว่า วิกฤติค่าครองชีพและรายได้เริ่มกัดกินไปถึงชนชั้นกลางระดับบนแล้ว
  2. กลุ่มเสี่ยงที่มองไม่เห็นมีคนจำนวนมากที่สถานะบัญชีวันนี้ “ยังไม่เป็นหนี้เสีย” (NPL) แต่ลึก ๆ แล้ว “รู้ตัวว่าไม่ไหว” และมองว่าหนี้เป็นภาระที่หนักอึ้ง กลุ่มนี้คือก้อนน้ำแข็งใต้น้ำที่รอวันปะทุ ซึ่งกระจายตัวอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลาง (30,000 – 50,000 บาท) ไปจนถึงรายได้สูง

คำทำนายอนาคต: 5 ปีข้างหน้า 1 ใน 3 ของคนไทยจะยังติดอยู่ในหล่ม

เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลผลเป็นภาพอนาคต ดร.ปุณยวัจน์พยากรณ์ไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า หาก GDP ไทยโตเฉลี่ยเพียง 2-3% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 1% ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะยังมีครัวเรือนไทยถึง 1 ใน 3 ที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย

นี่คือสัญญาณเตือนภัยระดับชาติว่า หากเราปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปตามยถากรรม กลุ่มคนรายได้น้อยและปานกลางกว่า 20 ล้านคน จะยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรหนี้สินที่ไม่มีทางออก

แก้หนี้อย่างเดียวไม่พอต้องแก้ที่ โครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์  นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส SCB EIC
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส SCB EIC

ข้อมูลชุดนี้ชี้ชัดว่า การแก้หนี้แบบเหวี่ยงแห (One Size Fits All) ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เราจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ “Tailor-made” หรือตัดสูทให้เหมาะกับคนใส่ แยกกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ออกจากกลุ่มที่ต้องการแรงจูงใจทางวินัย

แต่บทเรียนสำคัญที่สุดที่ SCB EIC ทิ้งท้ายไว้ คือ “การแก้หนี้ที่ยั่งยืน เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอๆ กับเรื่องการเงิน” มาตรการพักชำระหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้เปรียบเสมือนการปฐมพยาบาลห้ามเลือด แต่หากเศรษฐกิจภาพรวมไม่โต รายได้คนไทยไม่เพิ่ม คนก็ยังไม่มีเงินมาจ่ายหนี้อยู่ดี

ดังนั้น ทางออกเดียวที่จะพาคนไทยออกจากกับดักนี้ได้ คือการที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เอื้อให้คนไทยมีรายได้เพียงพอ ไม่ใช่แค่เพื่อ “ใช้หนี้” แต่เพื่อ “ใช้ชีวิต” ได้อย่างมีศักดิ์ศรีอีกครั้ง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

GISTDA ผนึก AIS ใช้ ‘ดาวเทียมผสาน Mobile Data’ ค้นหาผู้ประสบภัยน้ำท่วม

เศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้า: เมื่อ ‘ข้อมูล’ คือลมหายใจใหม่ ที่จะพลิกชีวิต ‘คนตัวเล็ก’

×

Share

ผู้เขียน