ท่ามกลางกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกราก ซึ่งพัดพาให้สื่อสิ่งพิมพ์จำนวนมากต้องล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา แต่สำหรับ “ขายหัวเราะ” ตำนานความฮาที่อยู่คู่สังคมไทยมากว่าครึ่งศตวรรษ กลับเลือกที่จะไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ภายใต้การนำทัพของ พิมพ์พิชา อุตสาหจิต ซีอีโอเจเนอเรชันใหม่แห่งเครือ วิธิตา กรุ๊ป (Vithita Group) ที่ได้เข้ามารับไม้ต่อและพลิกโฉมองค์กรครั้งใหญ่ เปลี่ยนสถานะจากผู้ผลิตหนังสือการ์ตูนแก๊ก สู่การนิยามตนเองใหม่ในฐานะ “Humor Agency” หรือเอเจนซีผู้เชี่ยวชาญด้านอารมณ์ขันที่ครบวงจร เพื่อฝ่าคลื่นลมแห่ง Disruption อย่างมั่นคง
นิยามใหม่แห่งความฮา: จากหน้ากระดาษสู่ทุกมิติของชีวิต
เมื่อพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้คนเปลี่ยนไป ขายหัวเราะจึงไม่อาจยึดติดอยู่เพียงแค่สถานะของหนังสือการ์ตูนเล่มละไม่กี่บาทอีกต่อไป คุณพิมพ์พิชาชี้ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ใหม่ว่า โจทย์ใหญ่คือการนำจุดแข็งที่มีอยู่อย่างมหาศาล นั่นคือ “คาแรคเตอร์” ที่คนไทยคุ้นเคยและผูกพัน ไม่ว่าจะเป็น บก.วิธิต, ปังปอนด์ หรือหนูหิ่น มาขยายผลต่อยอด
การก้าวเข้าสู่สถานะ “Humor Agency” คือการประกาศว่า ขายหัวเราะพร้อมที่จะนำ “เสียงหัวเราะ” เข้าไปแทรกซึมอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตผู้คน ทั้งในรูปแบบออนไลน์ ออฟไลน์ อีเวนต์ และสินค้าต่าง ๆ (Merchandise) โดยอาศัยความได้เปรียบของการเป็น “Household Brand” หรือแบรนด์สามัญประจำบ้านที่ผู้คนรู้สึกสนิทใจ ทำให้สามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหลและเข้าถึงง่ายกว่าแบรนด์ทั่วไป
ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล: เมื่อเรื่องตลกเป็นเรื่องจริงจัง
ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คือกระบวนการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ “Insight-Driven” อย่างเข้มข้น คุณพิมพ์พิชาย้ำชัดว่า การจะสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจในยุคนี้ ไม่สามารถใช้วิธี “นั่งเทียน” เขียนแก๊กได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยข้อมูล (Data) และการฟังเสียงสังคม (Social Listening) เข้ามาช่วยจับกระแส
กระบวนการผลิตความฮาของขายหัวเราะไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่ผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองอย่างพิถีพิถัน เริ่มต้นจากการระดมสมองที่เข้มข้น โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่บทบาทของ Humor Director ซึ่งเป็นตำแหน่งพิเศษที่ทำหน้าที่เสมือนผู้กำกับคอยควบคุมทิศทางของความตลก กำหนดจังหวะการรับส่งมุกให้แม่นยำ และขัดเกลาความเฉียบคมของเนื้อหาให้ทำงานกับความรู้สึกของผู้อ่านมากที่สุด
เมื่อผ่านกระบวนการคิดแล้ว ความท้าทายถัดมาคือศิลปะแห่งการนำเสนอหรือ Execution เพราะลำพังการมีข้อมูลเชิงลึกหรืออินไซต์ที่ดีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องอาศัยวิธีการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดควบคู่กันไป ตัวอย่างที่สะท้อนวิธีคิดนี้ได้ดีที่สุดคือแก๊กเรื่องการเกษียณอายุ แทนที่ทีมงานจะนำเสนอภาพพนักงานออฟฟิศสูงวัยตามขนบเดิม กลับเลือกใช้ภาพเด็กทารกมาเป็นผู้ดำเนินเรื่องและพูดถึงการเกษียณแทน ซึ่งการสร้างความขัดแย้งในเชิงภาพลักษณ์เช่นนี้ช่วยสร้างมิติใหม่ที่น่าสนใจได้มากกว่าเดิม เช่นเดียวกับการหยิบจับกระแสวงไอดอล BUS มาผสมผสานกับมีมระดับตำนานอย่าง I Kill You จนกลายเป็นคอนเทนต์ไวรัลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถกระตุ้นให้เหล่าแฟนคลับเข้ามามีส่วนร่วมและส่งต่อความสนุกกันอย่างกว้างขวาง
พลังของเครือข่าย เมื่อระบบนิเวศคอนเทนต์ผสานเป็นหนึ่งเดียว
ภายใต้ร่มเงาของเครือวิธิตา กรุ๊ป ขายหัวเราะไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง หากแต่มีกองหนุนที่แข็งแกร่งซึ่งยึดถือปรัชญาเดียวกัน นั่นคือการส่งมอบคอนเทนต์ผ่านอินไซต์ที่แม่นยำและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
เริ่มต้นจาก The Matter สื่อรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมโยง (Relevancy) โดยนำประเด็นสังคมหนักอึ้งมานำเสนอให้เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตผู้คนได้อย่างแนบเนียน ในขณะที่ Salmon Books ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าท่ามกลางกระแสคอนเทนต์สั้น การเล่าเรื่องแบบยาว (Long-form) ยังคงมีเสน่ห์และที่ยืนเสมอหากสามารถตอบโจทย์นักอ่านได้อย่างถูกต้อง
เช่นเดียวกับ Capital ที่เข้ามาปฏิวัติการเล่าเรื่องเศรษฐกิจและธุรกิจที่เข้าใจยาก ให้มีความเป็นมนุษย์หรือ Humanize เพื่อให้เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น รวมถึง M.O.M สื่อที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนคู่คิดให้คนเป็นพ่อแม่ด้วยหลักคิดเรื่องความเห็นอกเห็นใจหรือ Empathy นอกจากนี้ ยังมี Vithita Animation รับหน้าที่เป็นหัวหอกสำคัญด้าน Mascot Marketing ที่ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยมีผลงานการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ให้แบรนด์ระดับประเทศเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ อาทิ ก็อตจิของ ปตท. และน้องเอนจี้ของ กฟผ.
การขยายอาณาจักรผ่านพันธมิตรเพื่อสร้างมูลค่าใหม่ทางธุรกิจ
ในวาระครบรอบ 50 ปี ขายหัวเราะได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งผ่านแคมเปญ Happyversary โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำข้ามอุตสาหกรรมเพื่อขยายฐานแฟนคลับไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ เริ่มต้นจากการสร้างปรากฏการณ์ในวงการแฟชั่นที่ได้จับมือกับแบรนด์ดังอย่าง Mc Jeans และ Carnival ร่วมกันสร้างสรรค์คอลเลกชันเสื้อผ้าสุดพิเศษที่ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจนสินค้าจำหน่ายหมดทันทีที่เปิดตัว
นอกจากนี้ ยังขยายขอบเขตความร่วมมือเข้าสู่วงการไลฟ์สไตล์ โดยจับมือกับ IKEA นำเฟอร์นิเจอร์สแกนดิเนเวียนมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบริบทความฮาแบบไทย ๆ รวมถึงการร่วมมือกับหอแว่นในการดีไซน์แว่นตารุ่นพิเศษที่ถอดแบบเอกลักษณ์มาจากคาแรคเตอร์การ์ตูน
ขณะเดียวกันในภาคการท่องเที่ยวก็ได้ผนึกกำลังกับททท. นำแก๊กตลกมาใช้เป็นสื่อสร้างสรรค์ในการนำเที่ยวประเทศไทย ซึ่งความสำเร็จจากความร่วมมือที่หลากหลายเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่า คาแรคเตอร์ของขายหัวเราะไม่ได้เป็นเพียงตัวการ์ตูนบนหน้ากระดาษอีกต่อไป แต่เป็นสินทรัพย์ทางปัญญาอันทรงคุณค่าที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและช่วยปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์พันธมิตรมีความทันสมัยได้ในเวลาเดียวกัน
บันทึกประวัติศาสตร์ที่มีลมหายใจ
คุณพิมพ์พิชาทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า แท้จริงแล้วขายหัวเราะเป็นมากกว่าความบันเทิง แต่คือ “บันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทย” ที่รวบรวมวัฒนธรรมป๊อป (Pop Culture) การเมือง สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละยุคสมัยเอาไว้
ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำไปไกลเพียงใด หรือ AI จะเข้ามามีบทบาทมากแค่ไหน แต่แก่นแท้ที่จะทำให้คอนเทนต์ยังคงทรงพลังและเข้าไปนั่งในใจผู้คนได้ ก็ยังคงเป็นเรื่องของ “การค้นหาอินไซต์ของความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นสิ่งที่ขายหัวเราะยึดถือมาตลอด 50 ปี และจะยังคงยึดถือต่อไปในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ZTRUS’ คว้า Series A ผนึก 3 ยักษ์ ดัน AI ไทยลุยตลาดโลก
หนี้ลดภาพลวงตา SCB EIC ชี้วิกฤติ ‘คนหมดแรงกู้’ ลามชนชั้นกลาง




