ในขณะที่สปอตไลท์ของวงการการเงินไทยกำลังสาดส่องไปที่สมรภูมิการชิงใบอนุญาต “Virtual Bank” ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงของการจับคู่พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม CP ที่ดึงเอา Ant Group (เจ้าของ Alipay) มาเป็นพันธมิตร หรือกลุ่ม KTB (ธนาคารกรุงไทย) ที่ผนึกกำลังกับ AIS และ OR
ท่ามกลางฝุ่นตลบของการแย่งชิง “ธนาคารไร้สาขา” แห่งอนาคต หลายคนอาจมองข้ามหมากเกมสำคัญที่ “ธนาคารกรุงไทย” เดินไว้อย่างเงียบเชียบ แต่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ทันทีโดยไม่ต้องรอใบอนุญาตใหม่ นั่นคือการจับมือเชิงยุทธศาสตร์กับ Ant International ในมิติของโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงิน
นี่คือเกมธุรกิจที่น่าจับตามอง เพราะมันสะท้อนให้เห็นทิศทางใหม่ของกรุงไทยในปี 2026 ที่ต้องการเป็นมากกว่าธนาคาร แต่คือ “Open Digital Platform” ของประเทศ
–AIS และกลุ่มพันธมิตร OR – KTB ได้รับใบอนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank จากแบงก์ชาติ
เมื่อ“เสือ” ติดปีก“มังกร” (The Strategic Alliance)
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวสำคัญที่ไม่ได้ถูกขยายความมากนัก คือการเปิดตัวบริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ที่เชื่อมโยง “PromptPay” ของไทย เข้ากับ “Alipay+” ของจีนและเครือข่ายทั่วโลก
ภายใต้ดีลนี้ ธนาคารกรุงไทย รับบทบาทแม่ทัพสำคัญในฐานะ Settlement Bank (ธนาคารผู้ดูแลการชำระดุล) เพียงรายเดียวในไทย นั่นหมายความว่า ไม่ว่านักท่องเที่ยวจีนหรือชาติอื่น ๆ จะสแกนจ่ายค่าส้มตำที่ร้านริมทาง หรือจ่ายค่าโรงแรมหรูผ่าน Alipay+ จะวิ่งผ่าน “ท่อ” และระบบหลังบ้านที่ดูแลโดยกรุงไทย
ภาพนี้ช่วยไขข้อข้องใจให้ใครหลายคนที่สับสนว่า ตกลง Ant Group อยู่ข้างใคร? คำตอบคือ ในสมรภูมิ Virtual Bank เขาอาจอยู่กับอีกค่าย แต่ในสมรภูมิ Payment Infrastructure ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย เขาเลือกจับมือกับผู้ที่มี Ecosystem แข็งแกร่งที่สุดอย่าง “กรุงไทย”
ถอดรหัส 5 ยุทธศาสตร์: ทำไมต้องใช้ Tech ของ Ant?
หากกางแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจปี 2025-2026 ของธนาคารกรุงไทย (5-Strategic Focus) ที่กรุงไทยประกาศไว้สำหรับปี 2025-2026 เราจะพบคำตอบว่าทำไมดีลนี้ถึงเกิดขึ้น และทำไมต้องเกิดขึ้นตอนนี้
หัวใจสำคัญอยู่ที่ยุทธศาสตร์ข้อแรก “Unlock disproportionate value from current ecosystems” หรือการปลดล็อกมูลค่ามหาศาลจากสิ่งที่มีอยู่เดิม กรุงไทยมีแอปฯ “เป๋าตัง” และร้านค้า “ถุงเงิน” อยู่ในมือหลายสิบล้านราย การเชื่อมท่อกับ Ant Group คือการเปลี่ยนร้านค้าเล็ก ๆ ริมทางให้กลายเป็น Global Merchant ที่รับเงินสกุลต่างชาติได้ในชั่วข้ามคืน โดยที่ธนาคารแทบไม่ต้องลงทุนหาลูกค้าใหม่ (New Customer Acquisition)
แต่โจทย์ใหญ่คือ “Technology Infrastructure”
การจะรองรับธุรกรรมข้ามชาติระดับมหาศาลให้เสถียร รวดเร็ว และปลอดภัย เป็นเรื่องท้าทายสำหรับระบบธนาคารแบบดั้งเดิม (Legacy System) นี่จึงเป็นที่มาของการดึงเทคโนโลยีระดับโลกของ Ant Digital Technologies เข้ามาเสริมทัพ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Blockchain เพื่อความโปร่งใสในการโอนเงิน หรือ AI & Intelligent Risk Control เพื่อตรวจจับการทุจริตแบบเรียลไทม์
นี่คือการตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ข้อ “Future proof core technology” อย่างตรงจุด คือการเลือกใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของโลกมาเป็นฐาน เพื่อให้ตัวเองวิ่งได้เร็วกว่าคู่แข่ง
จาก “ธนาคารรัฐ” สู่ “แพลตฟอร์มระดับภูมิภาค”
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากกรณีศึกษานี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคการโอนเงิน แต่คือ Vision ของกรุงไทยที่เปลี่ยนไป
กรุงไทยในวันนี้ ไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ธนาคารพาณิชย์ที่หากินกับดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมในประเทศ แต่มองตัวเองเป็น “Infrastructure Provider” หรือผู้สร้างถนนสายดิจิทัลที่เชื่อมเศรษฐกิจไทยสู่โลก โดยใช้จุดแข็งที่มี (Ecosystem ภาครัฐ) ผสานกับเทคโนโลยีระดับโลก (Partnership)
สำหรับภาคธุรกิจและ SMEs ไทย นี่คือข่าวดีที่จะมีช่องทางรับรายได้จากนักท่องเที่ยวที่ง่ายและไร้รอยต่อมากขึ้น แต่สำหรับสมรภูมิธุรกิจการเงิน นี่คือสัญญาณเตือนว่า “มังกรวายุภักษ์” ตัวนี้… กำลังขยายอาณาจักรออกไปไกลกว่าขอบเขตประเทศไทยแล้ว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Google เผย ไทยยืนหนึ่งผู้ขาย Video Commerce อาเซียน ดันเศรษฐกิจดิจิทัลยุค ‘ทำกำไร’
KResearch เตือน หนี้ธุรกิจ ‘รอไม่ได้’ ยิ่งแก้ช้าโอกาสรอดเหลือศูนย์




