Share on
×

Share

The Death of the Internet: เมื่อ AI ครองเมือง ‘ความเป็นมนุษย์’ คือทางรอดเดียว

The Death of the Internet: เมื่อ AI ครองเมือง ‘ความเป็นมนุษย์’ คือทางรอดเดียว

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสชั่วครู่ แต่กำลังกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สะเทือนวงการสื่อและคอนเทนต์ทั่วโลก คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในวงสนทนาของเหล่านักสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่ “เราจะใช้เครื่องมืออะไร” แต่คือ “เราจะยืนหยัดอย่างไรในฐานะมนุษย์” บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจทิศทางอนาคตของ “Creator Intelligence” ผ่านมุมมองที่ตกผลึกจากเวทีเสวนาที่รวบรวมตัวจริงในวงการ ทั้งสาย Data, สาย AI Art และสาย Storytelling เพื่อถอดรหัสความอยู่รอดในวันที่โลกดิจิทัลกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่อัลกอริทึมครองเมือง

The Death of the Internet: เมื่อโลกออนไลน์ถูกยึดครองด้วยบอท

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถม สิ่งที่น่าจับตามองและชวนให้ขบคิดอย่างยิ่งคือทฤษฎี “The Death of the Internet” หรือการตายของอินเทอร์เน็ตในรูปแบบที่เราคุ้นเคย กษิดิศ สตางค์มงคล (DataRockie) เจ้าของเพจ DataRockie ได้วิเคราะห์แนวโน้มในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า อินเทอร์เน็ตจะเต็มไปด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI ในโลกที่ใครก็สามารถสร้างคอนเทนต์คุณภาพต่ำ (Low Quality) ออกมาได้วันละพันชิ้นด้วย AI เพียงไม่กี่คำสั่ง โซเชียลมีเดียจะกลายเป็นพื้นที่ที่แออัดไปด้วย “ขยะข้อมูล”

เมื่อพื้นที่สาธารณะบนโซเชียลมีเดียไม่เอื้อต่อการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์จริง ๆ อีกต่อไป มนุษย์จะเริ่มอพยพไปสู่พื้นที่ที่เรียกว่า “Cozy Web” หรือการสร้างชุมชนปิด ไม่ว่าจะเป็น Discord, จดหมายข่าว (Newsletter) หรือเว็บไซต์ส่วนตัว เพื่อหนีความวุ่นวายจากบอทและค้นหาการเชื่อมต่อที่แท้จริง นี่คือสัญญาณเตือนให้ครีเอเตอร์ตระหนักว่า การพึ่งพา “บ้านเช่า” อย่างโซเชียลมีเดียอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การสร้าง “บ้านของตัวเอง” ในรูปแบบเว็บไซต์หรือคอมมูนิตี้ที่แข็งแรง จึงเป็นทางรอดที่ยั่งยืนที่สุด

Human Connection: สิ่งเดียวที่ AI เลียนแบบไม่ได้

แม้ความกังวลว่า AI จะมาแย่งงานจะยังคงอยู่ แต่สิ่งที่บรรดาครีเอเตอร์เห็นพ้องต้องกันคือ “Human Connection” หรือสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ คือป้อมปราการด่านสุดท้ายที่ AI ไม่สามารถตีแตก ภาวินท์กิจนิรันดร์สิน (pawindrmom) ครีเอเตอร์เจ้าของช่อง ‘ภาวินท์’ ที่โด่งดังจากคอนเทนต์คู่แม่ลูก ชี้ให้เห็นว่า แม้ AI จะช่วยคิดคอนเทนต์หรือคำถามได้ แต่ “แก่น” ของความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ข้อมูล แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์ อารมณ์ และ Storytelling ระหว่างแม่ลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้

สอดคล้องกับมุมมองของ คุณกษิดิศ ที่หยิบยกกรณีศึกษาของ “อกาธา คริสตี้” นักเขียนชื่อดังผู้ล่วงลับ แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีที่สามารถสร้าง AI Avatar ขึ้นมาสอนการเขียนแทนเธอได้ แต่ผู้คนก็ยังโหยหาการเชื่อมต่อที่ “จริง” (Real) จากผลงานดั้งเดิมของเธอมากกว่า เพราะมนุษย์ไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ แต่ต้องการสัมผัสถึงจิตวิญญาณและประสบการณ์ของผู้สร้าง

AI as a Mirror: กระจกสะท้อนตัวตนและผู้ช่วยที่ทรงพลัง

หากพลิกมุมมองจากการมอง AI เป็นศัตรู มาสู่การเป็น “กระจกเงา” ที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้ กัญจน์ชญาอาจหาญ (Bearbykim) AI Creator และผู้เชี่ยวชาญด้าน Generative AI เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวว่า การเข้ามาของ AI เปรียบเสมือนการต่อลมหายใจให้กับอาชีพครีเอเตอร์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสุขภาพ (Office Syndrome) จากการทำงานกราฟิกแบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลานาน AI เข้ามาช่วยลดเวลาทำงานที่ซ้ำซาก (Repetitive tasks) จากหนึ่งวันเหลือเพียง 30 วินาที ทำให้ครีเอเตอร์สามารถนำเวลาไปทุ่มเทกับความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ AI ขึ้นอยู่กับ “สารตั้งต้น” ที่มนุษย์ป้อนเข้าไป คุณกัญจน์ชญา เน้นย้ำว่า หากเรามีความคิดที่ลึกซึ้ง มีประสบการณ์ที่เข้มข้น และมีทักษะการสื่อสารที่ดี เราจะสามารถสั่งงาน (Prompt) ให้ AI สร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างและโดดเด่นได้ ในทางกลับกัน หากปราศจากไอเดียตั้งต้นที่ดี ผลงานที่ออกมาก็จะเป็นเพียงงานดาษดื่นที่เหมือนกันไปหมด

The Responsibility: ความรับผิดชอบเหนืออัลกอริทึม

ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงและสิ่งปรุงแต่งเลือนลาง “จริยธรรม” (Ethics) กลายเป็นวาระสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คุณภาวินท์ และ คุณกัญจน์ชญา ย้ำเตือนตรงกันว่า ครีเอเตอร์ต้องทำหน้าที่เป็น “ตัวกรอง” (Filter) ชั้นดี ไม่ว่า AI จะเสนอข้อมูลอะไรมา มนุษย์ต้องเป็นผู้วิเคราะห์ความถูกต้อง (Fact-check) และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เผยแพร่ออกไป โดยเฉพาะข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องลิขสิทธิ์

การใช้ AI โดยขาดวิจารณญาณ หรือปล่อยให้ AI กำหนดทิศทางคอนเทนต์เพียงเพื่อแลกกับยอด Engagement อาจนำไปสู่การสูญเสียตัวตน และสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมได้ ซึ่ง คุณภาวินท์ เสริมว่าเราไม่ควรดูถูกความสามารถตัวเองด้วยการเชื่อ AI ไปเสียทุกอย่าง แต่ควรใช้การวิเคราะห์ของมนุษย์ในการตัดสินว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ

เป็นมนุษย์ให้ชัดเจนในวันที่ AI ทำได้ทุกอย่าง

บทสรุปของ “Future of Creator Intelligence” ไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันว่าใครใช้เครื่องมือเก่งกว่ากัน แต่คือการกลับมาสำรวจ “จุดยืน” ของตัวเอง คุณกษิดิศ ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า “ให้เป็นคนดี” และทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำได้

สำหรับครีเอเตอร์ในปี 2026 และอนาคตข้างหน้า โจทย์สำคัญคือการหา “เสียงของตัวเอง” (Voice) ให้เจอ พัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากประสบการณ์จริง และใช้ AI เป็นเพียง “ลมใต้ปีก” ที่ช่วยพยุงให้เราบินไปได้ไกลขึ้น ไม่ใช่ให้นั่งแทนที่คนขับ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยี สิ่งที่มนุษย์โหยหาที่สุด ก็ยังคงเป็น “ความเป็นมนุษย์” ด้วยกันเอง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Google เผย ไทยยืนหนึ่งผู้ขาย Video Commerce อาเซียน ดันเศรษฐกิจดิจิทัลยุค ‘ทำกำไร’

ฟองสบู่คือสนามสอบของเทคโนโลยี AI

×

Share

ผู้เขียน