Share on
×

Share

ดร.พลัง x Buffalo Gags: วิธีคิด ‘ครีเอเตอร์’ ให้รอดและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ดร.พลัง x Buffalo Gags: ถอดรหัสวิธีคิด 'ครีเอเตอร์' ให้รอดและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ท่ามกลางพลวัตของโลกดิจิทัลที่หมุนเร็วด้วยอัตราเร่งของอัลกอริทึมที่คาดเดาได้ยาก คำว่า “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” จึงไม่ได้เป็นเพียงนิยามของอาชีพที่สวยหรูอีกต่อไป หากแต่ได้กลายสภาพเป็น “สมรภูมิ” ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและการแข่งขันเพื่อช่วงชิงพื้นที่สายตา (Attention Economy) โจทย์ที่ท้าทายที่สุดของผู้คนในแวดวงนี้จึงไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่จดจำในชั่วข้ามคืน แต่คือการค้นหาวิธีที่จะ “ยืนระยะ” ให้มั่นคงและยาวนาน โดยไม่สูญเสียแก่นแท้ของตัวตนไปกับกระแสธารของความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกราก

บนเวทีการสนทนา iCreator Conference 2025 ที่เปี่ยมไปด้วยพลังระหว่าง ศรัญญู เพียรทำดี ผู้ก่อตั้งเพจ Buffalo Gags ครีเอเตอร์รุ่นเก๋าผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวและยืนหยัดอยู่ในวงการมาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี นับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และ ดร.พลัง โลกศิลป์ (Dr.Palang) ศิลปินผู้คร่ำหวอดในหลากหลายบทบาท ทั้งนักร้องโอเปร่า นักแสดง และอาจารย์สอนขับร้อง ได้ร่วมกันตกผลึกความคิดที่สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารจัดการ “ความคิดสร้างสรรค์” นั้น มีความลึกซึ้งเกินกว่ามิติของความบันเทิงหรือการผลิตชิ้นงาน หากแต่เปรียบเสมือน “ศาสตร์แห่งการบริหารชีวิตและกลยุทธ์ทางธุรกิจ” ที่สำคัญยิ่ง เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและก้าวข้ามขีดจำกัดในยุค Disruption ได้อย่างยั่งยืน

กลยุทธ์ “ถอดหัวโขน”: บริหารจัดการ Burnout ด้วยการสวมบทบาทใหม่

หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่เปรียบเสมือน “กับดัก” สำหรับคนทำงานสายสร้างสรรค์และผู้นำองค์กร คือการเผชิญกับ ภาวะหมดไฟ (Burnout) ซึ่งมักมีต้นตอมาจากการจดจ่ออยู่กับปัญหาเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานานจนเกิดความล้าทางความคิด ในประเด็นนี้ ดร.พลัง ได้เสนอทางออกเชิงจิตวิทยาที่น่าสนใจผ่านแนวคิด Self-Detachment หรือการถอยออกมาเพื่อมองเห็นตัวเองและปัญหาจากมุมมองของบุคคลที่สาม

เมื่อความคิดเดินทางมาถึงทางตัน ดร.พลัง เลือกที่จะนำทักษะทางวิชาชีพการแสดงมาประยุกต์ใช้ ผ่านกระบวนการ “สวมบทบาทสมมติ” (Roleplay) โดยการจินตนาการว่าตนเองเป็นคาแรคเตอร์อื่น หรือเป็นบุคคลอื่นที่มีบุคลิกลักษณะแตกต่างไปจากเดิม แล้วย้อนกลับมามองปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ วิธีการนี้มิใช่การหลีกหนีความจริง แต่เป็นกลวิธีในการ “หลอกสมอง” ให้หลุดออกจากกรอบความคิดและข้อจำกัดของ “ตัวตนเดิม” เพื่อเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป การเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้ประสบปัญหา” มาเป็น “ผู้สังเกตการณ์” หรือ “ผู้สวมบทบาทอื่น” จะช่วยลดความกดดันและกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สดใหม่ขึ้นได้

แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับประสบการณ์จริงของ คุณศรัญญู Buffalo Gags ที่ได้แบ่งปันเทคนิคส่วนตัวในช่วงเวลาที่ไอเดียตีบตันจนเขียนบทไม่ออก เขาเลือกที่จะพาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมที่คุ้นชิน ไปสู่โลกใบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน อย่างการเดินทางไปชม “ปิงปองโชว์” ที่พัทยา โดยมีเป้าหมายเพื่อเฟ้นหา “วัตถุดิบใหม่” ในการทำงาน กรณีศึกษานี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มักไม่ได้เกิดขึ้นจากการนั่งขบคิดอยู่ในห้องเดิม ๆ หากแต่เกิดจากการพาตัวเองออกไปปะทะสังสรรค์กับประสบการณ์ที่แตกต่าง เพื่อกระตุ้นให้สมองได้เรียนรู้และเชื่อมโยงสิ่งใหม่ ๆ เข้าด้วยกัน

นวัตกรรมเกิดจากการ “ชน” ของวัฒนธรรม

ในมิติของการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการสร้างสรรค์คอนเทนต์ นิยามของคำว่า “ความแปลกใหม่” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกมาก่อนเสมอไป หากแต่หัวใจสำคัญคือความสามารถในการนำสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมหรือองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม มาผ่านกระบวนการ “ผสมผสานข้ามสายพันธุ์” (Hybridization) เพื่อสังเคราะห์ให้เกิดเป็นคุณค่าใหม่ที่น่าสนใจกว่าเดิม

ดร.พลัง สะท้อนแนวคิดนี้ผ่านกรณีศึกษาของตนเอง โดยการนำ “ศาสตร์โอเปร่า” ซึ่งเป็นศิลปะการขับร้องชั้นสูงของตะวันตกที่มีระเบียบแบบแผนเคร่งครัด มาปะทะสังสรรค์กับ “เพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตหรือเพลงอีสาน” (เช่น เพลงตังเก) ซึ่งเป็นดนตรีที่มีรากฐานมาจากวิถีชีวิตชาวบ้าน ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ความไพเราะเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้าง “ความขัดแย้งที่ลงตัว” (Harmonious Contrast) ระหว่างสองสิ่งที่ดูเหมือนจะอยู่คนละขั้ว ให้สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่สร้างแรงกระเพื่อม (Impact) ให้กับผู้ชม และกลายเป็นภาพจำ (Viral) ที่ทรงพลัง

นอกจากนี้ ยังรวมถึงแนวคิดการทำคอนเทนต์ที่หยิบยกเรื่องใกล้ตัวมาขยายผลผ่านมุมมองแบบ “เปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม” (Cross-Cultural Comparison) ยกตัวอย่างการสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างคนไทยและคนจีน เช่น ปฏิกิริยาการอุทานเมื่อตกใจหรือเจ็บปวด (คนไทยร้อง “โอ๊ย” คนจีนร้อง “อู้/อั้ยหยา”) มาเล่าเรื่องใหม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ครีเอเตอร์หรือแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ คือผู้ที่มีสายตาแหลมคมในการมองเห็น “จุดเชื่อมโยง” ของสิ่งที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ และมีความกล้าที่จะผสานความต่างเหล่านั้นให้กลายเป็น “ลายเซ็นเฉพาะตัว” (Signature) ที่ยากจะเลียนแบบ

The “Mengzi” Mindset: พลิกวิกฤติด้วยปรัชญาตะวันออก

ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มอบความสุขให้กับผู้คน เบื้องหลังชีวิตของ ดร.พลังกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยเรื่องราวของ “จุดเปลี่ยน” (Turning Point) ครั้งสำคัญที่เกือบจะทำให้เขาต้องทิ้งความฝันไปตลอดกาล เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติทางสุขภาพอย่างรุนแรงจนต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง และต้องนอนพักรักษาตัวติดเตียงเป็นเวลานานนับปี สภาวะที่ร่างกายทรุดโทรมจนแทบเดินไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจที่ดิ่งลึกสู่ความท้อแท้และซึมเศร้า จนเริ่มตั้งคำถามถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่

ในวันที่ร่างกายและจิตใจบอบช้ำจนถึงขีดสุด สิ่งที่เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง ไม่ใช่ยาขนานวิเศษ แต่คือหลักปรัชญาจีนโบราณของปราชญ์ “เมิ่งจื่อ” ที่เขาบังเอิญได้พบ ซึ่งกล่าวไว้ว่า

“เมื่อสวรรค์จะมอบภารกิจอันยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้ใด สวรรค์ย่อมเคี่ยวกรำผู้นั้นให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายและใจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เกินกว่าที่คนธรรมดาจะมี”

ถ้อยคำดังกล่าวได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิด (Mindset Shift) ที่สำคัญที่สุด ดร.พลัง เลือกที่จะนำประโยคนี้มาติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเตือนใจตนเองทุกวัน และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความทุกข์ทรมานเสียใหม่ นี่คือแก่นแท้ของ Resilience Mindset หรือทักษะในการล้มแล้วลุกที่ผู้นำและคนทำงานยุคใหม่ควรตระหนัก

หลักคิดนี้สอนให้เรามองว่า “วิกฤติ” ไม่ใช่บทลงโทษจากโชคชะตาที่ตอกย้ำความล้มเหลว แต่เป็น “บททดสอบจากสวรรค์” (Divine Test) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์เช่นนี้เอง ที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ ดร.พลัง กัดฟันสู้กับการทำกายภาพบำบัด ฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ จนสามารถกลับมายืนหยัด สร้างสรรค์ผลงาน และส่งมอบพลังบวกให้กับผู้คนได้อีกครั้งในปัจจุบัน

Focus vs Speed: เดินให้มั่นดีกว่าวิ่งจนหลงทาง

ท่ามกลางกระแสธารของข้อมูลข่าวสารที่เชี่ยวกรากและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ที่เกิดขึ้นรายวินาที ดร.พลัง ได้ให้ข้อคิดที่สวนทางกับค่านิยมหลักของสังคมยุคใหม่ที่มักให้ค่ากับ “ความรวดเร็ว” (Speed) โดยเขามองว่าการพยายามวิ่งไล่กวดโลกให้ทันทุกฝีก้าวนั้น เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความเหนื่อยล้าเกินความจำเป็นและอาจนำไปสู่ทางตันในที่สุด เขาจึงเสนอปรัชญาการทำงานแบบ “เดินแล้วมอง” ซึ่งหมายถึงการก้าวเดินในจังหวะที่มั่นคง พร้อมกับใช้เวลาสังเกตรายละเอียดรอบข้างอย่างถี่ถ้วน แทนที่จะวิ่งตามกระแสจนมองไม่เห็นทิศทางที่แท้จริง

ในความเป็นจริง สมองและพลังงานของมนุษย์มีขีดจำกัด เราไม่สามารถตอบสนองต่อทุกสิ่งที่โลกโยนเข้ามาได้ทั้งหมด กุญแจสำคัญจึงอยู่ที่ “การเลือกโฟกัส” (Selective Focus) หรือการจัดลำดับความสำคัญที่จะทำเฉพาะในสิ่งที่ตนเองถนัดและมีความสนใจอย่างแท้จริง การตัดสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป (Elimination) และทุ่มเทให้กับสิ่งที่ “ใช่” จะช่วยให้คนทำงานรู้สึกสบายใจและสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพลึกซึ้งได้มากกว่าการทำแบบจับฉ่ายเพียงเพื่อให้ทันกระแส

นอกจากนี้ ในมิติของการบริโภคสื่อ ดร.พลัง มองว่าการเสพคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มอย่าง TikTok สามารถทำได้เพื่อความบันเทิงหรือการ “ถอดสมอง” พักผ่อน (Input) รวมถึงการเก็บเกี่ยวข้อมูลดิบ แต่เมื่อถึงกระบวนการผลิตผลงาน (Output) นั้น จำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองและตกผลึกทางความคิดเสียก่อน ผลงานที่ออกมาจึงควรเกิดจาก “ตัวตน” หรือ “คาแรคเตอร์” ที่เราตั้งใจนำเสนอจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การทำซ้ำ (Copy) สิ่งที่กำลังเป็นไวรัลโดยปราศจากจุดยืนของตัวเอง

ความยั่งยืนของมืออาชีพ

ในช่วงท้ายของการเสวนา คุณศรัญญู ได้ถอดบทเรียนสำคัญจากการยืนระยะในฐานะผู้ก่อตั้งเพจ Buffalo Gags มายาวนานถึง 15 ปี โดยชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืนนั้นไม่มีทางลัด หากแต่ต้องแลกมาด้วยความอดทนและเวลา เขาเปิดเผยว่าในช่วง 6-7 ปีแรกของการทำเพจ เขาแทบไม่ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของตัวเงินเลย แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้เขายังคงเดินหน้าต่อได้ท่ามกลางความว่างเปล่า คือ “ความสนุก” และการได้เป็น “ตัวของตัวเอง” อย่างแท้จริง เมื่อสิ่งที่ทำสะท้อนตัวตนข้างใน การทำงานจึงไม่ได้รู้สึกเหมือนการแบกภาระ แต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขเหมือนได้นั่งหัวเราะไปกับเพื่อนฝูง ซึ่งนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ครีเอเตอร์สามารถ “รอด” และเติบโตได้ในระยะยาว

แนวคิดดังกล่าวสอดรับกันเป็นอย่างดีกับมุมมองของ ดร.พลัง ที่ได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้อย่างจับใจว่า “อย่าทอดทิ้งตัวเอง” (Don’t abandon yourself) ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือความท้อแท้เพียงใด จงอย่าละทิ้งความเชื่อมั่นในตนเอง สำหรับเขาแล้ว วิถีของครีเอเตอร์หรือคนทำงานมืออาชีพ เปรียบเสมือนการออกเดินทางไกลเพื่อค้นหาและปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ (Unlock Potential) ไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต ไม่ว่าอายุจะล่วงเลยไปถึง 80 ปี มนุษย์เราก็ยังสามารถค้นพบแง่มุมใหม่ ๆ ของตัวเองได้เสมอ

บทสรุปสุดท้ายของทั้งสองท่านจึงชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความสำเร็จที่แท้จริงอาจไม่ได้วัดกันที่ปลายทางหรือตัวเลขความนิยมเพียงอย่างเดียว หากแต่คือความสุขที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วันของการลงมือทำ ตราบใดที่เรายังคงซื่อสัตย์กับสิ่งที่รักและไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในทุกยุคสมัย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Visa ผ่าทางตันวิกฤติปี 68: เปิดโรดแมปความปลอดภัย ดัน Tokenisation – AI สู้มิจฉาชีพ

มูจิ เปิดแฟล็กชิปสโตร์ใหญ่สุดในอาเซียนที่เซ็นทรัลเวิลด์ ยกระดับไทยเป็น Global Hub

×

Share

ผู้เขียน