Share on
×

Share

142 ปี ไปรษณีย์ไทย: พลิกตำนานสู่ Postman Cloud

กระแสความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คำว่า “Legacy” หรือ “มรดกตกทอด” มักถูกตีความในเชิงลบว่าเป็นความล้าหลัง เป็นอุปสรรคที่ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวลำบาก แต่สำหรับ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขาเชื่อมั่นว่า ประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 142 ปีของไปรษณีย์ไทย ไม่ใช่สิ่งที่ผูกมัดองค์กรไว้กับอดีต หากแต่เป็น “รากฐาน” และ “จุดแข็ง” ที่หาใครเลียนแบบได้ยาก และเมื่อสินทรัพย์ทางประวัติศาสตร์นี้ถูกนำมาผสานเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่ จะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ไขประตูสู่ความสำเร็จในอนาคต

ก้าวข้ามช่องว่างระหว่างวัย: เมื่อความผูกพันเปลี่ยนรูปแบบ

ความท้าทายแรกที่ไปรษณีย์ไทยต้องเผชิญ คือความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภค ดร.ดนันท์ชี้ให้เห็นถึง “ช่องว่างระหว่างวัย” (Generation Gap) ที่ส่งผลต่อมุมมองที่มีต่อแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ

กลุ่มคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือเจเนอเรชันเอ็กซ์ (Gen X) มองภาพลักษณ์ของบุรุษไปรษณีย์และตู้ไปรษณีย์สีแดง เป็นสัญลักษณ์ของความผูกพัน เป็นความทรงจำของการรอคอยจดหมาย และมิตรภาพที่เติบโตมาพร้อมกับคนในชุมชน ต่างจากคนรุ่นใหม่ในกลุ่ม Gen Z หรือ Gen Alpha ที่ภาพความทรงจำเหล่านี้เลือนราง พวกเขามองบริการขนส่งเป็นเพียงเรื่องของ “ฟังก์ชัน” (Functional Value) ที่วัดกันด้วยความเร็ว ราคา และสภาพสินค้า โดยปราศจากความผูกพันทางใจ (Emotional Value)

โจทย์ใหญ่ของไปรษณีย์ไทยในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการรักษาฐานลูกค้าเดิม แต่คือการตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้สินทรัพย์ดั้งเดิมที่มีอยู่ สามารถสร้างมูลค่าที่ตอบโจทย์และเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นกำลังซื้อหลักในอนาคตได้

จากบุรุษไปรษณีย์ สู่ “Postman Cloud”: พลัเครือข่ายมนุษย์ที่เหนือกว่า AI

ขณะที่คู่แข่งในตลาดโลจิสติกส์มุ่งเน้นการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและราคา ดร.ดนันท์ เลือกที่จะดึงจุดแข็งที่สุดที่ไม่มีใครมี นั่นคือ “คน” และ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” (Trust)

ไปรษณีย์ไทยครอบครองเครือข่ายที่ทรงพลังที่สุดเครือข่ายหนึ่งของประเทศ คือ บุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน ที่ทำหน้าที่เข้าถึงทุกครัวเรือนกว่า 29 ล้านจุดทั่วไทย ไม่ว่าจะเป็นบนดอยสูง เกาะห่างไกล หรือพื้นที่ทุรกันดาร สิ่งที่ทำให้เครือข่ายนี้พิเศษไม่ใช่เพียงแค่ “การเข้าถึง” (Reach) แต่คือ “ความสัมพันธ์” (Relationship)

ดร.ดนันท์ อธิบายว่า บุรุษไปรษณีย์คือคนที่คนในชุมชนคุ้นเคยมานับสิบปี เติบโตมาพร้อมกับคนในพื้นที่ จนกลายเป็นเสมือนญาติมิตร ความสัมพันธ์นี้ก่อให้เกิด Trusted Channel หรือช่องทางแห่งความไว้ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลสร้างทดแทนไม่ได้ หากเป็นคนแปลกหน้ามาเคาะประตูบ้าน เราอาจไม่กล้าเปิดรับ แต่สำหรับบุรุษไปรษณีย์ พวกเขาสามารถเปิดรั้ว เดินเข้าบ้าน หรือวางของไว้ในจุดที่ปลอดภัยได้โดยที่เจ้าของบ้านไม่กังวล

จุดแข็งนี้นำไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า “Postman Cloud” หรือ Postman as a Service ซึ่งเป็นการยกระดับบทบาทของบุรุษไปรษณีย์จากการเป็นเพียงผู้ส่งของ (Physical Logistics) ให้กลายเป็นผู้ให้บริการข้อมูลและบริการที่หลากหลาย (Information Logistics) เช่น

  • บริการสำรวจและเก็บข้อมูล (Survey & Data Collection): บุรุษไปรษณีย์สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟ หรือสำรวจทรัพย์สินในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
  • การดูแลสังคมและเตือนภัย (Social Care & Monitoring): ในสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม หรือไฟไหม้ บุรุษไปรษณีย์คือผู้ที่รู้ข้อมูลเชิงลึกดีที่สุดว่าบ้านหลังไหนมีผู้สูงอายุติดเตียง บ้านหลังไหนน้ำท่วมถึงระดับใด ซึ่งเป็นข้อมูลเรียลไทม์ที่สำคัญต่อการช่วยเหลือ
  • การตลาดแบบเข้าถึงใจ (Heart-to-Heart Marketing): การใช้ความไว้ใจเป็นสะพานเชื่อมสู่บริการอื่น ๆ เช่น การแนะนำประกันภัย โดยบุรุษไปรษณีย์สามารถนำเสนอข้อมูลผ่าน QR Code ให้กับลูกค้าที่คุ้นเคย ซึ่งมีโอกาสปิดการขายได้สูงกว่าการโทรศัพท์ขายของ (Telesales) เพราะเกิดจากคำแนะนำของคนที่ไว้ใจ

เชื่อมโยงโลกเสมือนด้วยสินทรัพย์ตำนาน: NFT และสายมูเตลู

นอกจากการปรับเปลี่ยนบทบาทของคนแล้ว ดร.ดนันท์ ยังได้ผลักดันให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมอย่าง “แสตมป์” ให้ก้าวข้ามจากของสะสมทางกายภาพ สู่สินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่

เขายกตัวอย่างการนำกระแสความเชื่อ หรือ “มูเตลู” (Faith Marketing) มาผสมผสานกับเทคโนโลยี ผ่านการออกแสตมป์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพิฆเนศ หรือจตุคามรามเทพ โดยยกระดับสู่รูปแบบ NFT Stamp ที่เชื่อมโยงโลกจริงเข้ากับโลกเสมือน (Metaverse) การทำเช่นนี้ทำให้แสตมป์ซึ่งอาจดูเป็นของเก่าสำหรับคนรุ่นใหม่ กลายเป็นดิจิทัลไอเทมที่มีมูลค่าและอยู่ในความสนใจของ Community คนรุ่นใหม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา Digital Post ID ซึ่งเป็นการแปลงที่อยู่จากข้อความยาวๆ ให้กลายเป็นรหัสพิกัดดิจิทัล 6 หลัก (คล้ายรหัสไปรษณีย์แต่ระบุตำแหน่งละเอียดถึงตัวบ้าน) ช่วยแก้ปัญหาการจ่าหน้าซองผิดพลาด เพิ่มความแม่นยำในการขนส่ง และรองรับการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

ขุมทรัพย์ Data และก้าวต่อไปของไปรษณีย์ไทย

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือการเปลี่ยนสถานะจากผู้ขนส่งสิ่งของ (Logistics Company) ไปสู่ “Information Logistics Company” ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ไปรษณีย์ไทยถือเป็น First Party Data Store ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ เพราะรู้ลึกถึงพฤติกรรมของผู้คนในระดับครัวเรือน รู้ว่าบ้านไหนทำธุรกิจอะไร ชอบสั่งสินค้าประเภทไหน หรือร้านค้าใดเปิด-ปิดกิจการ ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์มหาศาลที่สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อจับคู่ความต้องการ (Demand) และการตอบสนอง (Supply) ได้อย่างแม่นยำ

บทสรุปจากวิสัยทัศน์ของ ดร.ดนันท์สุภัทรพันธุ์ ยืนยันให้เห็นว่า “Legacy” ของไปรษณีย์ไทย ไม่ใช่ซากปรักหักพังของอดีต แต่เป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการสร้างอนาคต การผสาน “Human Network” ที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ เข้ากับ “Technology” และ “Data” คือกลยุทธ์ที่ทำให้ไปรษณีย์ไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้รอดชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง แต่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำที่กำหนดนิยามใหม่ของการให้บริการที่ ไปให้สุดหยุดที่ความยั่งยืน อย่างแท้จริง

×

Share

ผู้เขียน