Share on
×

Share

‘มหิดล’ ทุ่ม 3,000 ล้าน ลุย Medical Disruption พลิกโฉมสาธารณสุขไทย

'มหิดล' ทุ่ม 3,000 ล้าน ลุย Medical Disruption พลิกโฉมสาธารณสุขไทย

มหาวิทยาลัยมหิดล ประกาศเดินหน้ายุทธศาสตร์ครั้งสำคัญภายใต้ชื่อ “Medical Disruption” โดยทุ่มงบประมาณลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมระบบสาธารณสุขไทยให้สามารถรับมือกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก หรือ Future Trend 2026 ได้อย่างมั่นคง การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่ออุดรอยรั่วและความเปราะบางของโครงสร้างสุขภาพในปัจจุบัน พร้อมกับยกระดับให้ “สุขภาพ” กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ (Wellness Economy)

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล โครงการนี้มิใช่เพียงการผลิตงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์ทางวิชาการเท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการแพทย์ของไทยจากเดิมที่เป็นแบบ “ตั้งรับ” (Reactive) ซึ่งเน้นการรักษาเมื่อเจ็บป่วย ให้กลายเป็นระบบ “เชิงรุก” (Proactive) ที่เน้นการป้องกันและการรักษาที่แม่นยำ

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ขับเคลื่อนผ่าน 4 เทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่จะเข้ามาพลิกโฉมวงการแพทย์ไทย ได้แก่ การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI), เทคโนโลยีการปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation), การสร้างโรงงานผลิตยาชีววัตถุและเซลล์บำบัด (ATMP) และการยกระดับสมุนไพรไทยสู่เวทีโลก ทั้งหมดนี้เพื่อตอบโจทย์แนวคิดที่ว่า “Health is the New Wealth” หรือสุขภาพคือความมั่งคั่งใหม่ที่ยั่งยืนที่สุดของมนุษย์

'มหิดล' ทุ่ม 3,000 ล้าน ลุย Medical Disruption พลิกโฉมสาธารณสุขไทย

The Burning Platform – ระเบิดเวลา 3 ลูกที่กำลังทำงาน

เบื้องหลังการตัดสินใจผลักดันเม็ดเงินลงทุนมหาศาลในครั้งนี้ มีปัจจัยเร่งด่วนมาจากสภาวะบีบคั้นที่ระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญอยู่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา ได้วิเคราะห์เจาะลึกถึง “3 วิกฤติการณ์หลัก” ที่กำลังบั่นทอนความมั่นคงของระบบสาธารณสุข และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ดังนี้ 

  • 1. สึนามิค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ (Cost Explosion): ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลโดยตรงให้สถิติผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคมะเร็ง และโรคที่มีความซับซ้อนพุ่งสูงขึ้นตามอายุขัยของประชากร สถานการณ์นี้นำมาซึ่งต้นทุนการรักษาพยาบาลระดับชาติที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่ากังวล สวนทางกับโครงสร้างประชากรวัยทำงาน—ซึ่งเป็นฐานภาษีหลักของประเทศ—ที่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างนี้อย่างจริงจัง ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อสถานะทางการคลัง หรือถึงขั้นล่มสลายได้ในอนาคต 
  • 2. วิกฤติขาดแคลนและกระจายบุคลากร (Workforce Crisis): ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ในประเทศไทยได้เข้าขั้นวิกฤติ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนแพทย์เพียง 1 คน ต่อประชากร 2,000 คน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำไว้ที่ 1 ต่อ 1,000 คน ถึงกว่าครึ่งหนึ่ง ความน่ากังวลยิ่งกว่าคือความเหลื่อมล้ำในการกระจายตัว โดยในพื้นที่ห่างไกลอย่างจังหวัดบึงกาฬ สัดส่วนนี้ถ่างกว้างถึง 1 ต่อ 5,000 คน ภาระงานที่หนักอึ้งเกินกำลังส่งผลให้เกิดปัญหาสมองไหล โดยมีแพทย์ตัดสินใจลาออกจากระบบราชการเฉลี่ยสูงถึงปีละกว่า 455 คน ซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงยิ่งขึ้น 
  • 3. ภาวะความรอบรู้ทางสุขภาพต่ำ (Low Health Literacy): วิกฤติสุดท้ายคือทัศนคติและพฤติกรรมทางสุขภาพของคนไทย ที่ยังคงเน้นการ “รักษาที่ปลายเหตุ” หรือรอให้เจ็บป่วยก่อนจึงเดินทางมาพบแพทย์ พฤติกรรมเช่นนี้ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องรองรับผู้ป่วยล้นเกินความจำเป็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โรคภัยไข้เจ็บจำนวนมากสามารถหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาความรุนแรงได้ หากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันและดูแลตนเองตั้งแต่ต้นทาง 

จากความท้าทายระดับโครงสร้างทั้ง 3 ประการนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลจึงตัดสินใจใช้ “งานวิจัยและนวัตกรรมขั้นสูง” เป็นหัวหอกสำคัญในการฝ่าวงล้อมวิกฤติ โดยแปรเปลี่ยนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติจริงผ่าน 4 โครงการยักษ์ใหญ่ (Mega Projects) ที่มุ่งหวังให้เป็นทางออกที่ยั่งยืนของระบบสาธารณสุขไทย 

Xenotransplantation – เดิมพันข้ามสายพันธุ์ กับตำนานหมูเกาะอ๊อกแลนด์

หนึ่งในโครงการที่ถือเป็นความท้าทายระดับมนุษยชาติและมีความทะเยอทะยานที่สุดของมหาวิทยาลัยมหิดล คือการมุ่งแก้ไข “วิกฤติโรคไต” ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขเรื้อรังของไทย ปัจจุบันมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องพึ่งพาการฟอกไตกว่า 100,000 ราย คิดเป็นภาระงบประมาณแผ่นดินสูงถึงปีละ 16,000 ล้านบาท และหากไม่มีมาตรการแก้ไขที่เด็ดขาด มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะพุ่งทะยานแตะระดับ 57,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2576 

ทางออกที่ยั่งยืนที่สุดในการยุติวงจรความสูญเสียนี้คือ “การปลูกถ่ายอวัยวะ” แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยประสบภาวะขาดแคลนอวัยวะจากผู้บริจาคที่เป็นมนุษย์อย่างรุนแรง มหาวิทยาลัยมหิดลจึงเบนเข็มมุ่งสู่นวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่เรียกว่า Xenotransplantation หรือการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่คน โดยเลือกโฟกัสไปที่ “หมู” เป็นลำดับแรก 

ทำไมต้องเป็นหมู? และเหตุใดต้องเป็นหมูจากนิวซีแลนด์? อุปสรรคสำคัญในอดีตที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกไม่สามารถนำอวัยวะหมูมาใช้ในมนุษย์ได้ คือความเสี่ยงจากไวรัสที่ฝังตัวอยู่ในรหัสพันธุกรรมของหมู หรือที่เรียกว่า Porcine Endogenous Retrovirus (PERV) ซึ่งอาจข้ามสายพันธุ์มาติดเชื้อในมนุษย์ได้ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง NZeno Limited จึงได้ค้นพบกุญแจสำคัญในการไขปัญหานี้ นั่นคือการค้นพบ “หมูสายพันธุ์เกาะอ๊อกแลนด์ (Auckland Island Pigs)”

ตำนานหมูเกาะอ๊อกแลนด์: มรดกจากกัปตันเจมส์ คุก เรื่องราวของหมูสายพันธุ์นี้มีความพิเศษประหนึ่งนิยายผจญภัย ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1807 ยุคแห่งการล่าอาณานิคมและการเดินเรือ กัปตันหรือนักเดินเรือในสมัยนั้น (ซึ่งเชื่อมโยงกับยุคของกัปตันเจมส์ คุก) ได้นำหมูไปปล่อยทิ้งไว้บน เกาะอ๊อกแลนด์ (Auckland Island) ทางตอนใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อให้เป็นแหล่งเสบียงอาหารตามธรรมชาติ 

ผลจากการถูกปล่อยทิ้งร้างให้ดำรงชีวิตอยู่ตามธรรมชาติอย่างโดดเดี่ยว (Isolation) มายาวนานกว่า 200 ปี โดยปราศจากการรบกวนจากโลกภายนอก หมูเหล่านี้ปรับตัวด้วยการขุดรากไม้และกินหอยแมลงภู่ตามชายหาดเป็นอาหาร ความโดดเดี่ยวทางภูมิศาสตร์นี้เองได้กลายเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติ ทำให้พวกมันเป็นหมูสายพันธุ์เดียวที่ ปลอดจากเชื้อไวรัส Xenotropic (Virus-free) ที่มักพบในหมูทั่วไปทั่วโลก จึงมีความปลอดภัยสูงสุดสำหรับการนำมาใช้ทางการแพทย์ 

จากห้องปฏิบัติการสู่ฟาร์มระบบปิดมาตรฐานโลก (From Lab to Farm) เพื่อสานฝันให้เป็นจริง มหาวิทยาลัยมหิดลได้ผนึกกำลังกับภาคเอกชนชั้นนำอย่าง บมจ.เบทาโกร และ SCG เตรียมก่อสร้างฟาร์มหมูระบบปิดที่มีมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นสูงสุด (Biosecurity) ในจังหวัดราชบุรี ฟาร์มแห่งนี้จะมีมาตรการควบคุมความสะอาดยิ่งกว่าห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อ อาบน้ำสระผม และเดินผ่านอุโมงค์ฆ่าเชื้อก่อนเข้าปฏิบัติงาน เพื่อเลี้ยงดูหมูสายพันธุ์พิเศษนี้ 

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการใช้เทคโนโลยี การตัดต่อพันธุกรรม (Gene Editing) ที่แม่นยำ โดยทำทั้งกระบวนการ Knock-out (ตัดยีนที่กระตุ้นให้ร่างกายมนุษย์เกิดการต่อต้านทิ้งไป) และ Knock-in (ใส่ยีนของมนุษย์เข้าไปแทนที่) เพื่อให้อวัยวะของหมูมีความเข้ากันได้กับระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มากที่สุด 

ไทม์ไลน์สู่ความสำเร็จ (Timeline & Future Impact) ปัจจุบันโครงการอยู่ใน Phase 0 โดยมีการคาดการณ์ว่าจะประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตหมูสู่มนุษย์และใช้งานได้จริงภายใน 5-9 ปี ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในระหว่างทางของการพัฒนา จะมีการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทำได้ง่ายกว่า (Low-hanging fruit) ออกมาใช้ประโยชน์ก่อน เช่น คอลลาเจนทางการแพทย์, ผิวหนังสำหรับรักษาผู้ป่วยไฟไหม้ หรือกระจกตาหมู ก่อนจะก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีความซับซ้อนอย่าง ไต และหัวใจ ซึ่งหากสำเร็จ จะสามารถช่วยชีวิตคนไทยได้นับแสนรายและลดภาระงบประมาณสาธารณสุขของประเทศได้อย่างมหาศาล

Medical AI – ดีลลับพันล้าน กับ Jensen Huang และขุมทรัพย์ข้อมูลคนไทย

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโลก มหาวิทยาลัยมหิดล ตระหนักดีว่าตนเองกำลังถือครองสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาลทางวิชาการและเศรษฐกิจ นั่นคือ “Thai Health Data Lake” หรือคลังข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยฐานข้อมูลการรักษาพยาบาลย้อนหลังกว่า 20 ปี จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และฐานข้อมูลพันธุกรรม (Genomics) ของคนไทยกว่า 50,000 ราย ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้สำหรับการพัฒนาระบบสาธารณสุขแม่นยำในอนาคต

ความได้เปรียบที่เป็นเอกลักษณ์ (Uniqueness):

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดสำคัญของ AI ที่พัฒนาโดยชาติมหาอำนาจตะวันตก แม้จะมีความอัจฉริยะเพียงใด แต่อาจเผชิญภาวะ “ตกม้าตาย” เมื่อต้องวินิจฉัยโรคเขตร้อนหรือวิเคราะห์พันธุกรรมของชาวเอเชีย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การวินิจฉัยโรคโลหิตจาง ซึ่ง AI ของตะวันตกมักอ้างอิงฐานข้อมูลโรค Sickle Cell Anemia ที่พบบ่อยในแอฟริกาหรือยุโรป แต่สำหรับบริบทของประเทศไทย โรคที่พบบ่อยคือ Thalassemia (ธาลัสซีเมีย) ความแตกต่างในระดับพันธุกรรมนี้ตอกย้ำว่า ข้อมูลสุขภาพของคนไทยจำเป็นต้องได้รับการวิเคราะห์ผ่าน AI ที่ถูกฝึกฝน (Train) มาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด 

ความร่วมมือระดับโลก (The Big Deal): ด้วยศักยภาพของฐานข้อมูลที่มี มหาวิทยาลัยมหิดลได้เจรจากับ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก จนนำมาสู่ความร่วมมือมูลค่าเทียบเท่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราว 1,000 ล้านบาท) ข้อตกลงนี้มีความน่าสนใจตรงที่การสนับสนุนไม่ได้มาในรูปแบบของตัวเงิน (Cash) แต่เป็นการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่หาซื้อได้ยากยิ่งในตลาดโลก ได้แก่ ชิปประมวลผล GPU ประสิทธิภาพสูงรุ่นล่าสุด (อาทิ H100 หรือ B200) รวมถึงซอฟต์แวร์ AI ขั้นสูง ซึ่งเปรียบเสมือน “สมองกล” ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับการวิจัยทางการแพทย์ 

เงื่อนไขแห่งการพัฒนา (Key Condition): ภายใต้ความร่วมมือนี้ มีเงื่อนไขสำคัญที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยมหาวิทยาลัยมหิดลมีพันธกิจที่จะต้องสร้างนักวิจัยระดับปริญญาเอก (PhD) ด้าน AI ให้ได้จำนวน 100 คน เพื่อเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนงานวิจัยนี้ ควบคู่ไปกับการเร่งก่อสร้าง ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI Center) แห่งใหม่ ณ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ศาลายา ซึ่งมีกำหนดการแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปีหน้า เพื่อเป็นฐานบัญชาการสำคัญของโครงการ 

เป้าหมายสูงสุด (Ultimate Goal): ปลายทางของโครงการนี้คือการสร้างระบบ Personalized Health Promotion หรือเปรียบเสมือนการมี “AI Doctor” ส่วนตัวให้กับคนไทยทุกคน ระบบนี้จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึกแบบพหุมิติ ตั้งแต่รหัสพันธุกรรม พฤติกรรมการกิน ไปจนถึงรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อทำนายความเสี่ยงของการเกิดโรคได้อย่างแม่นยำ พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพที่จำเพาะเจาะจงรายบุคคล ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการดูแลสุขภาพจากการ “รักษา” มาเป็นการ “ป้องกัน” อย่างแท้จริง 

ATMP & The Living Drug Factory – โรงงานผลิตยาแห่งชีวิต

โลกการแพทย์กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากยุคสมัยของการใช้ “ยาเคมีบำบัด” (Chemotherapy) ซึ่งเปรียบเสมือนการปฏิบัติการทางทหารแบบ “ปูพรมถล่ม” (Carpet Bombing) เพื่อทำลายข้าศึก แต่กลับสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพลเรือน—หรือในที่นี้คือเซลล์ดีในร่างกาย—ส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตผู้ป่วย เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และภาวะเม็ดเลือดต่ำ

แต่วันนี้ เรากำลังมุ่งหน้าสู่ยุคแห่ง ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) หรือผลิตภัณฑ์ยารูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง “เซลล์บำบัดและยีนบำบัด” เข้าไปแก้ไขความผิดปกติที่ต้นเหตุของโรคในระดับพันธุกรรม เปรียบเสมือนการใช้อาวุธนำวิถีที่มีความแม่นยำสูง จัดการเฉพาะเป้าหมายโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง

คอขวดของการพัฒนา (The Scale-up Problem): แม้ประเทศไทยจะมีบุคลากรทางการแพทย์ระดับหัวกะทิจากโรงเรียนแพทย์ชั้นนำ อาทิ รามาธิบดี ศิริราช และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สามารถวิจัยและพัฒนาการรักษาด้วยเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด (CAR-T Cell) เพื่อรักษามะเร็งได้สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ (Small Scale) แต่ที่ผ่านมา นวัตกรรมเหล่านี้กลับไม่สามารถก้าวไปถึงฝั่งฝันในการผลิตจริงเพื่อผู้ป่วยจำนวนมากได้ เนื่องจากติดขัดปัญหาเรื่อง “การขยายกำลังการผลิต” (Scale-up) ให้ได้มาตรฐานระดับอุตสาหกรรมเพื่อขอขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

หมากรุกกระดานสำคัญ (Strategic Move): เพื่อทลายกำแพงอุปสรรคนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ตัดสินใจทุ่มงบประมาณลงทุนกว่า 1,300 ล้านบาท ก่อสร้าง “MU Bioplant” โรงงานผลิตยาชีววัตถุและยา ATMP ณ พื้นที่ศาลายา โดยได้รับความร่วมมือในการออกแบบจากบริษัท Tesmo ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจากสหราชอาณาจักร โรงงานแห่งนี้ถูกวางบทบาทให้เป็นฐานการผลิตในระดับ Medium Scale (รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 50-100 ราย) ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไป เพื่อใช้สำหรับการทดสอบทางคลินิก (Clinical Trial) และรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นขอขึ้นทะเบียนตำรับยา

ความร่วมมือเพื่อความมั่นคงทางยา (The Great Alliance): เมื่อกระบวนการวิจัยและขึ้นทะเบียนสำเร็จลุล่วง มหาวิทยาลัยมหิดลได้วางแผนส่งไม้ต่อให้กับพันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง สยามไบโอไซเอนซ์ (Siam Bioscience) เพื่อรับช่วงการผลิตในระดับอุตสาหกรรม (Large Scale) ต่อไป โดยมุ่งเน้นการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ เช่น โรคธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคพาร์กินสัน ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีการฉีด Viral Vector เข้าสู่สมองเพื่อกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ขาดหายไป

ภายในระยะเวลา 18 เดือน ถึง 2 ปี ข้างหน้า โครงการนี้จะเปลี่ยนประเทศไทยจากการเป็นผู้ซื้อยาราคาแพงจากต่างชาติ ให้กลายเป็นประเทศที่มีโรงงานผลิตยาแห่งอนาคตเป็นของตนเอง สร้างความมั่นคงทางยา และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไทยได้อย่างยั่งยืน 

Bio-Extracts – เปลี่ยน “วัชพืชและเห็ดรา” ให้เป็นทองคำ

จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะเข้ามาเติมเต็มยุทธศาสตร์นี้ คือการปลดล็อกศักยภาพจากความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ซึ่งถือเป็นต้นทุนธรรมชาติที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบมหาศาล มหาวิทยาลัยมหิดลมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเปลี่ยนภาพจำของการขายสมุนไพรไทยแบบดั้งเดิมที่เน้นการ ชั่งกิโลขาย”ในราคาถูก ให้กลายเป็นการสร้างสรรค์ “สารสกัดมูลค่าสูง” (High Value Extract) ที่ผ่านการรับรองด้วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม

จากพืชสวนครัวสู่เภสัชภัณฑ์มูลค่าล้าน (Value Creation Examples): ตัวอย่างที่สะท้อนภาพความสำเร็จของการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างชัดเจน ได้แก่:

  • ปรากฏการณ์ขมิ้นชัน (Turmeric): จากเดิมที่เกษตรกรจำหน่ายหัวขมิ้นสดได้เพียงกิโลกรัมละ 20 บาท แต่หากนำมาผ่านกระบวนการสกัดขั้นสูงเพื่อให้ได้สารสำคัญอย่าง “เคอร์คูมินอยด์” (Curcuminoids) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์และเครื่องสำอาง มูลค่าจะพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับ กิโลกรัมละ 80,000 บาท ทันที 
  • ขุมทรัพย์จากเห็ด (Mushrooms): มหิดลกำลังเร่งวิจัยเพื่อสกัดสาร เบต้ากลูแคน (Beta-glucan) จากเห็ด ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าสารนี้คิดเป็นมูลค่าปีละนับพันล้านบาท การผลิตได้เองภายในประเทศจึงเป็นการลดการขาดดุลการค้าอย่างมีนัยสำคัญ 
  • โพรไบโอติกส์สายพันธุ์ไทย (Local Probiotics): เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าโพรไบโอติกส์จากต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน มหาวิทยาลัยมหิดลได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโพรไบโอติกส์ “สายพันธุ์ไทยแท้”จำนวน 2 สายพันธุ์ ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นในการดูแลสุขภาพลำไส้เชื่อมโยงกับระบบประสาทและสมอง (Gut-Brain Axis) ช่วยเรื่องการขับถ่ายและสุขภาพจิต โดยเตรียมเปิดตัวสู่ตลาดในเร็วๆ นี้ 
  • นวัตกรรมสมุนไพรไทย: การยกระดับพืชท้องถิ่นสู่นวัตกรรม อาทิ กระชายขาว ที่มีฤทธิ์ต้านไวรัส, หอมแดง ที่พัฒนาเป็นสารรักษาสิว และ ใบหม่อนพันธุ์ศาลายา 1 ซึ่งมีความพิเศษที่ใบขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องความจำและการรักษาอาการผิวหนังอักเสบ 

พลังความร่วมมือสู่ตลาดโลก (Strategic Partnership): เพื่อให้งานวิจัยเหล่านี้ไม่หยุดอยู่แค่ในห้องปฏิบัติการ มหาวิทยาลัยมหิดลได้ผนึกกำลังกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผ่านกลไก กองทุนนวัตกรรม (Innovation Fund) มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้สู่ผู้ประกอบการ SME ไทยกว่า 250,000 ราย ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง ให้มีอาวุธทางปัญญาในการสร้างสรรค์สินค้าที่มีนวัตกรรม เพื่อก้าวไปแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี 

สู่ศูนย์กลาง Wellness Economy ระดับ 6.8 ล้านล้านเหรียญ

ภาพความสำเร็จของโครงการทั้งหมดนี้ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเข้ามาเติมเต็มศักยภาพของประเทศไทย ในการก้าวเข้าสู่เวที “เศรษฐกิจสุขภาพ” (Wellness Economy) ระดับโลก ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 6.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนแตะระดับ 9.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 

การตัดสินใจทุ่มงบประมาณลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ของมหาวิทยาลัยมหิดลในครั้งนี้ จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าเพียงการก่อสร้างอาคารสถานที่หรือการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ หากแต่เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้าง “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่” (New Growth Engine) ที่ทรงพลังให้กับประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าในทิศทางใหม่:

  • จากการเป็น “ผู้ซื้อ” สู่ “ผู้สร้าง”: เปลี่ยนสถานะของประเทศจากเดิมที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าและเป็นเพียงผู้ซื้อเทคโนโลยีจากต่างชาติ ให้ก้าวขึ้นสู่การเป็น “ผู้สร้างสรรค์และเจ้าของนวัตกรรม” (Technology Creator) ที่สามารถผลิตและส่งออกภูมิปัญญาทางการแพทย์สู่สากล 
  • จาก “การรักษา” สู่ “การสร้างเสริม”: เปลี่ยนกระบวนทัศน์ของระบบสาธารณสุข จากการตั้งรับเพื่อรอ “รักษาความเจ็บป่วย” (Sick Care) ไปสู่การทำงานเชิงรุกเพื่อ “สร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม” (Wellness & Preventive Care)
  • เปลี่ยน “วิกฤติ” เป็น “ความมั่งคั่ง”: แปรเปลี่ยนวิกฤติของต้นทุนสุขภาพและสังคมสูงวัย ให้กลายเป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจ สอดรับกับวิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่ว่า “Health is the New Wealth” — เพราะความมั่งคั่งที่แท้จริงและยั่งยืนที่สุดในศตวรรษหน้า จะถูกวัดกันที่ “สุขภาพ” อย่างแท้จริง 

Tech Moral Business: พลิกเกมธุรกิจยุค AI ด้วยพลัง ‘ศีลธรรม’

เอปสัน มุ่งพันธกิจเพื่อโลกยั่งยืน เล็งขยายอายุใช้งานสินค้านานขึ้น ไม่กระทบแผนออกโปรดักส์รุ่นใหม่

×

Share

ผู้เขียน