Share on
×

Share

สกสว. ชู ‘Open Science’ พลิกโฉมวิจัยไทย สู่เจ้าภาพเวทีโลกปี 69

สกสว. ชู 'Open Science' พลิกโฉมวิจัยไทย สู่เจ้าภาพเวทีโลกปี 69

“Thailand Open Science for All”: สกสว. กางแผนยุทธศาสตร์พลิกโฉมวิจัยไทย เตรียมรับบทเจ้าภาพเวทีโลก GRC 2026 ดัน ‘วิทยาศาสตร์’ ออกจากหอคอยงาช้างสู่มือประชาชน

ในยุคที่โลกกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรม โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การเร่งผลิตงานวิจัยให้มีจำนวนมากพอ แต่คือคำถามที่ท้าทายยิ่งกว่าว่า “ทำอย่างไรให้งานวิจัยเหล่านั้น ‘กินได้’ เข้าถึงได้ และเป็นของทุกคนอย่างแท้จริง?”

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้จัดเวทีระดมสมองครั้งสำคัญในงาน TSRI Policy Advocacy Series ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “Thailand Open Science for All: เปิดโลกนวัตกรรม เปิดรับวิทยาการ ร่วมสร้างอนาคตไทย” งานนี้เปรียบเสมือนการ “ปูพรมแดง” ทางความคิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับระบบนิเวศวิจัยของไทย ก่อนก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

ปักหมุดพฤษภาคม 69: ไทยผงาดเจ้าภาพ GRC และวาระโลกที่ชื่อว่า “Open Science”

ไฮไลท์ที่สร้างความตื่นตัวให้กับวงการวิทยาศาสตร์ไทย คือการเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจาก ศ.เกียรติคุณ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ที่ระบุว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Global Research Council (GRC) ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) 

เวที GRC นี้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการประชุมระดับ World Bank ของฝั่งการเงิน เพราะเป็นการรวมตัวของ “Head of Research Entity” หรือหัวหน้าหน่วยงานให้ทุนวิจัยจากทั่วโลก โดยธีมหลักที่ประชาคมโลกตกลงร่วมกันและจะถูกใช้เป็นหัวข้อในการหารือคือ “Open Science” (วิทยาศาสตร์แบบเปิด) และ “Sustainable Research” (การวิจัยที่ยั่งยืน)

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ชี้ให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงนโยบาย โดยระบุว่าข้อมูลที่ได้จากการระดมสมองในวันนี้ จะถูกสังเคราะห์เป็น Policy Paper ของประเทศไทย เพื่อนำไปนำเสนอทั้งในเวที GRC และการประชุมใหญ่ประจำปีของธนาคารโลก (World Bank Annual Meeting) ซึ่งไทยเตรียมเสนอประเด็นเรื่อง Disruptive Innovation และ Open Science เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรายงานระดับโลกด้วย 

ผ่าตัดโครงสร้างวิจัย: 4 โจทย์ใหญ่เพื่อทลายกำแพง “หอคอยงาช้าง”

นิยามของ “Open Science” ในมุมมองของ ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือจำกัดอยู่แค่นักวิชาการ แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) จากเดิมที่ “วิจัยเพื่อนักวิชาการ โดยนักวิชาการ” ไปสู่การเปิดกว้างใน 4 มิติ (Open Gaps) เพื่อคืนอำนาจสู่สังคม

  1. Open Question (ปฏิวัติการตั้งโจทย์): ยุคที่นักวิจัยนั่งเทียนคิดโจทย์เองในห้องแอร์ต้องหมดไป การกำหนดโจทย์วิจัย (Research Question) ต้องเปิดกว้างให้ “ประชาชน” ผู้ซึ่งเผชิญปัญหาจริง เข้ามามีส่วนร่วมบอกว่าปัญหาคืออะไร และต้องการให้แก้อะไร เพื่อให้งานวิจัยตอบโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างตรงจุด 
  2. Open Process (ปฏิวัติกระบวนการ): การทำวิจัยต้องไม่ถูกผูกขาดโดยมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยเท่านั้น แต่ต้องเปิดรับความร่วมมือแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ดึงภาคเอกชน และที่น่าสนใจคือแนวคิด “Citizen Researcher” หรือนักวิจัยภาคพลเมือง ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนคนธรรมดาเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัย 
  3. Open Data & Access (ปฏิวัติการเข้าถึง): นี่คือ Pain Point สำคัญของวงการวิจัยทั่วโลก คือปัญหาการเข้าถึงข้อมูล งานวิจัยที่ดีต้องไม่ถูกเก็บไว้บนหิ้ง หรือติดเงื่อนไข Paywall ที่ต้องจ่ายเงินแพงๆ เพื่ออ่าน ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนว่า ข้อมูลการเกษตร เช่น วิธีปลูกทุเรียน ควรถูกแปลงจากภาษาเทคนิคให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย และเปิดเผย (Open Data) ในแพลตฟอร์มที่เกษตรกรเข้าถึงได้ทันที 
  4. Open Utilization (ปฏิวัติการใช้ประโยชน์): ต้องมีกลไกที่ชัดเจนมารองรับว่า เมื่องานวิจัยเสร็จสิ้นแล้ว จะส่งไม้ต่ออย่างไรให้ประชาชน ภาคธุรกิจ หรือภาคสังคม นำไปดัดแปลง ต่อยอด หรือใช้แก้ปัญหาได้จริง ไม่ใช่จบแค่เล่มรายงาน 

จาก “หิ้งสู่ห้าง” สู่ “สังคมแห่งปัญญาที่เท่าเทียม”

ทางด้าน ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวถึงภาพวิวัฒนาการของนโยบายวิทยาศาสตร์ไทย โดยย้อนรำลึกถึงยุคที่ ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ เคยริเริ่มแนวคิด “จากหิ้งสู่ห้าง” เมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งเป็นการผลักดันงานวิจัยเชิงพาณิชย์

แต่สำหรับบริบทใหม่ในปัจจุบัน ศ. ดร.สมปอง มองว่า “ห้าง” อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอแล้ว แต่มันต้องสร้าง “คุณค่า” ที่มากกว่านั้น คือการลงไปสู่มือภาคประชาชนอย่างทั่วถึง 

“Thailand Open Science for All จะเป็นเครื่องมือใหม่ในการนำองค์ความรู้จากระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) มาสร้างการเปลี่ยนแปลง เปิดรับความรู้ สร้างความเท่าเทียม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยปัญญา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมแห่งปัญญาที่มั่นคงและยั่งยืน” ศ. ดร.สมปอง กล่าวเน้นย้ำ 

ผนึกกำลัง “Superstar Scientist” ระดมสมองกำหนดอนาคต

อีกหนึ่งความพิเศษของงานนี้คือการได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มาร่วมงาน โดย ศ.เกียรติคุณ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ได้กล่าวเชิดชู ศ.ดร.ยงยุทธ ในฐานะ “ไอดอล” และ “นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา” (Unusual Scientist) ผู้ซึ่งมีความเป็นเลิศทั้งในด้านวิชาการระดับโลกและการบริหารจัดการ เป็นผู้ก่อตั้งไบโอเทค (BIOTEC) และ สวทช. (NSTDA) ซึ่งวางรากฐานสำคัญให้ประเทศ 

การที่ระดับปรมาจารย์และผู้กำหนดนโยบายมารวมตัวกันในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สกสว. และ กสว. กำลังเอาจริงเอาจังกับการ “Democratize Science” หรือการทำให้วิทยาศาสตร์เป็นประชาธิปไตย เพื่อเตรียมความพร้อมให้ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้าร่วม แต่เป็น “ผู้นำ” ในเวทีวิทยาศาสตร์โลกปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงนี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ดร.บุรณิน’ ชี้ สิ้นยุคหว่านแห เปิดกลยุทธ์ปี 2026 ‘เจาะจุดเล็ก-เน้นเงินสด’

Creator Economy 2025: คนสร้าง Trust + AI สร้าง Scale สูตร 5 พันล้าน

×

Share

ผู้เขียน