Share on
×

Share

TDRI ดัน ‘ปราจีนบุรีโมเดล’ ใช้ Data เจาะกลุ่มเสี่ยงลดอุบัติเหตุ

TDRI ดัน ‘ปราจีนบุรีโมเดล’ ใช้ Data เจาะกลุ่มเสี่ยงลดอุบัติเหตุ

ในมิติของการพัฒนาเศรษฐกิจมหภาค จังหวัดปราจีนบุรีเปรียบเสมือนฟันเฟืองชิ้นสำคัญในฐานะเมืองนิคมอุตสาหกรรมและประตูเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ภายใต้การเติบโตของการขนส่งและโลจิสติกส์ กลับซ่อนเร้นไว้ด้วยตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากอุบัติเหตุทางถนนที่สูงจนน่าตกใจ โดยเฉพาะในกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่ขาดหลักประกันคุ้มครอง

ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากเวทีสรุปผลการดำเนินงานโครงการความปลอดภัยทางถนน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสในการเปลี่ยน “พื้นที่เสี่ยง” ให้กลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ผ่านโครงการนำร่องที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) และกลไกการประกันภัยผ่าน “ปราจีนบุรีโมเดล” โดยเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาแบบหว่านแหมาใช้ฐานข้อมูล (Data) เจาะลึกกลุ่มเสี่ยงหลักคือเยาวชนและแรงงาน ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกในพื้นที่นำร่องสะท้อนความสำเร็จชัดเจน ทั้งอัตราการสวมหมวกนิรภัยและการทำประกันภัย พ.ร.บ. ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทางโครงการจึงเตรียมขยายผลสู่มาตรการปรับปรุงกายภาพและการบังคับใช้กฎหมายในปีถัดไป โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อลดความสูญเสียชีวิตและรักษาต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท

ภูมิทัศน์ความเสี่ยง: เมื่อเส้นทางเศรษฐกิจกลายเป็นจุดเปราะบาง

ปราจีนบุรีเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อนกว่าจังหวัดทั่วไป ดร.สุเมธ อธิบายว่า แม้ภาพรวมอุบัติเหตุระดับประเทศจะเริ่มทรงตัว แต่สำหรับปราจีนบุรี ตัวเลขหลังยุคโควิด-19 กลับมีแนวโน้มสูงขึ้นจนติดอันดับ Top 5 ของกลุ่มจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงสุด สาเหตุหลักมาจากลักษณะทางกายภาพที่เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าหนาแน่น โดยเฉพาะใน 4 อำเภอเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อำเภอเมือง, อำเภอศรีมหาโพธิ, อำเภอกบินทร์บุรี และอำเภอนาดี ซึ่งมีสถิติการเกิดเหตุสูงสุด

ความน่ากังวลไม่ได้หยุดอยู่แค่จำนวนครั้งของอุบัติเหตุ แต่ลึกลงไปถึง “สถานะความคุ้มครอง” ของผู้ประสบภัย ข้อมูลจากการวิจัยระบุชัดเจนว่า อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับรถจักรยานยนต์ และกลุ่มผู้เสียชีวิตกว่าร้อยละ 39 “ไม่มีประกันภัยรองรับ” ตัวเลขนี้สะท้อนถึงภาระทางการเงินมหาศาลที่ตกอยู่กับภาคครัวเรือนและระบบสาธารณสุขของจังหวัดเมื่อเกิดความสูญเสีย

กลยุทธ์เจาะลึกกลุ่มเป้าหมาย: สร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนและ แรงงาน

สำหรับกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ ทาง TDRI เลือกที่จะไม่ใช้วิธีการแบบหว่านแหซึ่งอาจสิ้นเปลืองทรัพยากรและไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่หันมาใช้กระบวนการแก้ปัญหาแบบมุ่งเป้าหรือ Targeted Intervention เพื่อจัดการความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ โดยเจาะจงไปที่กลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงสุดสองกลุ่มหลัก

กลุ่มแรกคือกลุ่มเยาวชน ซึ่งครอบคลุมทั้งนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา โดยปัญหาสำคัญที่พบคือเยาวชนกลุ่มนี้มักมีความจำเป็นต้องขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน ทั้งที่ยังขาดทักษะในการขับขี่ที่ปลอดภัยและไม่มีใบขับขี่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนกลุ่มเป้าหมายที่สองคือกลุ่มแรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานในพื้นที่ 304 ซึ่งเป็นโซนเศรษฐกิจที่มีการจราจรหนาแน่นและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงมากกว่าพื้นที่อื่น

ผลสัมฤทธิ์เฟสแรก: การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่วัดผลได้

ตลอดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2568 ทีมวิจัยได้ขับเคลื่อนโครงการโดยลงพื้นที่สร้างสถานศึกษาต้นแบบจำนวน 5 แห่ง พร้อมทั้งจัดกิจกรรมรณรงค์เชิงรุกอย่างเข้มข้น อาทิ การจัดสัปดาห์ความปลอดภัยและการสื่อสารผ่านสื่อวิทยุชุมชนเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของกลุ่มเป้าหมาย

ผลลัพธ์จากการดำเนินงานสะท้อนความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในสามมิติสำคัญ เริ่มจากด้านองค์ความรู้ที่พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 95 สอดคล้องกับด้านพฤติกรรมที่มีอัตราการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และมีแนวโน้มความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ปลอดภัยขึ้นถึงร้อยละ 20

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือผลสัมฤทธิ์ด้านหลักประกันความปลอดภัย โดยพบว่าอัตราการทำประกันภัยภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. ในกลุ่มเป้าหมายปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39 ซึ่งถือเป็นการช่วยปิดความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรดแมปสู่ความยั่งยืน (2569-2570): จาก Sandbox สู่ Scale Up

ดร.สุเมธ ย้ำว่าความสำเร็จในระยะเริ่มต้นเป็นเพียงก้าวแรกของการทำงานเท่านั้น โดยแผนงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งครอบคลุมปีพุทธศักราช 2569 และ 2570 จะมุ่งเน้นการขยายผลเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้างผ่านยุทธศาสตร์สำคัญสามด้าน เริ่มจากการขยายเครือข่ายความปลอดภัยด้วยการเพิ่มจำนวนโรงเรียนต้นแบบให้ได้ 10 ถึง 15 แห่ง พร้อมทั้งนำโมเดลความปลอดภัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม

ควบคู่ไปกับการปรับปรุงสภาพกายภาพและกฎระเบียบ โดยให้ความสำคัญกับมาตรการชะลอความเร็วในเขตชุมชนและบริเวณหน้าโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนการพัฒนาถนนต้นแบบที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย นอกจากนี้ ยังมีแผนยกระดับการบังคับใช้กฎหมายโดยนำเทคโนโลยี GPS มาช่วยในการกำกับดูแล และผลักดันให้เยาวชนเข้าสู่ระบบการทำใบขับขี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ต้นทุนชีวิตกับมูลค่าทางเศรษฐกิจ

ในช่วงท้ายของการนำเสนอ ดร.สุเมธ องกิตติกุล ได้ฝากแง่คิดสำคัญที่มีนัยทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อกระตุกเตือนสังคมให้ตระหนักถึงต้นทุนที่แท้จริงของความสูญเสีย โดยชี้ให้เห็นว่าการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์หนึ่งคนจากอุบัติเหตุทางถนนนั้น ไม่ได้สร้างเพียงความโศกเศร้าแก่ครอบครัว แต่ยังคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สูงถึง 7 ถึง 8 ล้านบาทต่อหนึ่งชีวิต

เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ร่วมกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของ “ปราจีนบุรีโมเดล” ที่มุ่งมั่นจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้ได้ 42 รายต่อปี และลดจำนวนผู้บาดเจ็บให้ได้ 20 รายต่อปี หากโครงการสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ได้ตามแผนงานที่วางไว้ ย่อมหมายถึงความสามารถในการปกป้องทรัพยากรบุคคลอันมีค่า และช่วยลดการสูญเสียเม็ดเงินทางเศรษฐกิจของประเทศได้ปีละหลายร้อยล้านบาท

ดังนั้น การขับเคลื่อนโครงการนี้จึงมีนัยที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การรณรงค์ลดอุบัติเหตุทั่วไป แต่ถือเป็นการลงทุนทางสังคมที่คุ้มค่าเพื่อวางรากฐานระบบนิเวศความปลอดภัยที่ยั่งยืน ซึ่งความสำเร็จของปราจีนบุรีโมเดลจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบมาตรฐานสำหรับการบริหารจัดการความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทยในอนาคตต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วิสัยทัศน์ ‘ดร.นิเวศน์’ กับทางรอดนักลงทุน VI เมื่อ AI ครองเมือง

มาม่า OK – Onetouch – Pramy กล้า ‘Unlearn พลิกเกมธุรกิจ

×

Share

ผู้เขียน