ทัศนียภาพมุมสูงจากชั้น 16 ของอาคาร Asia Centre เผยให้เห็นมหานครกรุงเทพฯ ที่แผ่ขยายกว้างไกลสุดสายตา ทว่าภายใต้ความศิวิไลซ์นั้น กลับซ่อนความเปราะบางที่ไม่อาจมองข้าม บรรยากาศภายในห้องเสวนาจึงไม่ได้มีเพียงการเปิดตัวหนังสือใหม่ แต่กลับคุกรุ่นไปด้วยความรู้สึก “เร่งด่วน” และ “จริงจัง” อย่างที่สัมผัสได้ชัดเจน
หัวข้อการเสวนา “Design Before Disaster: Japan’s Culture of Preparedness” ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพียงเพื่อให้สอดรับกับกระแสข่าวอุทกภัยที่กำลังโหมกระหน่ำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้เท่านั้น หากแต่นี่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญของการระดม “มันสมอง” ระดับผู้นำจากหลากหลายวงการ ทั้งภาคการศึกษา การทูต การบริหารเมืองท้องถิ่น และภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อมาร่วมกันขบคิดโจทย์ที่ท้าทายที่สุดแห่งศตวรรษที่วิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กำลังตั้งคำถามใส่หน้ามนุษยชาติว่า “เราจะออกแบบชีวิตและเมืองอย่างไร ในวันที่ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจเข้าออก?”
งานสำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือไตรภาคีระหว่าง MIT Sloan ASEAN Office, MIT Urban Risk Lab และ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สรภพ เกียรติพงษ์สาร ผู้อำนวยการ MIT Sloan ASEAN Office กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมปูทางสู่การเรียนรู้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ข้ามพรมแดน
ในช่วงพิธีเปิด ฯพณฯ โอตากะ มาซาโตะ (H.E.Otaka Masato) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้กล่าวถ้อยคำที่กระตุกความคิดผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง โดยท่านทูตได้ฉายภาพความเป็นจริงของประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่ต้องต่อสู้และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติมานับศตวรรษ บทเรียนราคาแพงเหล่านั้นได้หล่อหลอมคำว่า “Bosai” (โบไซ) หรือการบริหารจัดการภัยพิบัติ ให้มีความหมายลึกซึ้งกว่าหน้าที่ตามกฎหมายของรัฐบาล แต่มันได้กลายเป็น “วัฒนธรรม” ที่ฝังรากลึกอยู่ในดีเอ็นเอและวิถีชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นทุกคน
Dual Use: ศาสตร์แห่งการซ่อน ‘ทางรอด’ ไว้ใน ‘รอยยิ้ม’ ของเมือง
เวทีเสวนาเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานทางความคิดที่เข้มข้นโดย รองศาสตราจารย์มิโฮ มาเซเรอูว์ (Associate Professor Miho Mazereeuw) ผู้อำนวยการฝ่ายภารกิจด้านสภาพภูมิอากาศของสถาบัน MIT (MIT Climate Mission) และผู้อำนวยการ MIT Urban Risk Lab ผู้ซึ่งกลั่นกรองประสบการณ์และงานวิจัยที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือทรงคุณค่าเล่มนี้
แรงบันดาลใจของเธอไม่ได้เกิดขึ้นในห้องแล็บ แต่เกิดจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี ค.ศ. 1995 เมื่อแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มเมืองโกเบ บ้านเกิดของเธอ แม้ครอบครัวจะปลอดภัย แต่เหตุการณ์นั้นจุดประกายให้เธอเห็นความสำคัญของ “การฟื้นฟู” และ “การเตรียมพร้อม” ที่ต้องทำควบคู่กันไป เธอจึงพาเราไปสำรวจแก่นแท้ของการออกแบบที่เรียกว่า “Anticipatory Design”หรือการออกแบบที่คาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างเมืองให้แข็งแรงทนทาน แต่เป็นการออกแบบอนาคตที่มนุษย์และภัยพิบัติสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล
หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือ “Dual Use” หรือ “การใช้งานทวิลักษณ์” ซึ่งเป็นการทลายเส้นแบ่งที่เคยกั้นขวางระหว่าง “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อชีวิตประจำวัน” (Everyday Use) และ “โครงสร้างเพื่อรองรับภัยพิบัติ” (Disaster Use) ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

“เราไม่สามารถพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (Grey Infrastructure) เช่น กำแพงกันคลื่นสูงตระหง่านหรือเขื่อนคอนกรีต เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะนอกจากจะสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลแล้ว มันยังตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับระบบนิเวศออกจากกัน แต่ทางออกที่ยั่งยืนกว่าคือการผสานฟังก์ชันความปลอดภัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์” รองศาสตราจารย์มิโฮ อธิบายขยายความ
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมและชัดเจนที่สุดคือ การจัดการพื้นที่ริมแม่น้ำในญี่ปุ่น ในยามปกติ พื้นที่เหล่านี้ถูกออกแบบให้เป็นสวนสาธารณะเขียวขจี เป็นลานกีฬา สนามเทนนิส และจุดปิกนิกที่สร้างความสุขและสุขภาพที่ดีให้คนในชุมชน แต่เมื่อถึงฤดูน้ำหลากหรือเกิดพายุไต้ฝุ่น พื้นที่เดียวกันนี้จะทำหน้าที่เป็น พื้นที่รับน้ำนอง (Retarding Basins) ระบบจะยอมให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่สวนสาธารณะตามระดับขั้นบันไดที่ออกแบบไว้ เพื่อชะลอและกักเก็บมวลน้ำไม่ให้ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและย่านเศรษฐกิจ นี่คือการใช้ “พื้นที่สีเขียว” ทำงานร่วมกับ “วิศวกรรม” อย่างชาญฉลาด

ความใส่ใจในรายละเอียดยังแทรกซึมไปถึง เฟอร์นิเจอร์เมือง (Urban Furniture) สิ่งที่เราเห็นเป็นม้านั่งในสวนธรรมดาที่ผู้สูงอายุนั่งพักผ่อน แท้จริงแล้วถูกออกแบบให้มีฟังก์ชันซ่อนเร้น เมื่อเกิดภัยพิบัติและก๊าซหุงต้มถูกตัดขาด เราสามารถพลิกที่นั่งออก ฐานด้านล่างจะกลายเป็นเตาหุงต้ม (Kamado bench) สำหรับประกอบอาหารแจกจ่ายผู้ประสบภัยได้ทันที หรือแม้แต่สวนหย่อมเล็ก ๆ (Pocket Parks) ในชุมชน ก็ถูกออกแบบให้มีท่อระบายน้ำที่พร้อมสำหรับการติดตั้งกระโจมสุขาชั่วคราว (Manhole toilets) เพื่อสุขอนามัยในยามวิกฤต
นอกจากนี้ ในระดับสถาบันการศึกษา โรงเรียนประถมซูรินามิ (Surinami Elementary School) ในโตเกียว คือต้นแบบของการผนวกการศึกษากับการเตรียมพร้อมเข้าด้วยกัน อาคารเรียนถูกออกแบบให้เป็นศูนย์พักพิงตั้งแต่ในพิมพ์เขียว โรงยิมถูกยกไปไว้ชั้น 2 เพื่อให้พ้นจากระดับน้ำท่วม ภายในห้องเรียนมีรางเลื่อนซ่อนอยู่บนเพดาน เพื่อให้สามารถกางพาร์ติชันแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน สร้างความเป็นส่วนตัวและรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับผู้อพยพ
ที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือมิติของ การศึกษา (Education) เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของที่นี่ จะมีหลักสูตรให้เรียนรู้กลไกการทำงานของโรงเรียนตนเอง พวกเขาจะรู้ว่าก๊อกน้ำสำรองอยู่ตรงไหน แผงโซลาร์เซลล์ทำงานอย่างไร หรือห้องเก็บเสบียงอยู่ที่ใด ทำให้เมื่อเกิดเหตุจริง เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้รอความช่วยเหลือ แต่กลายเป็นกำลังหลักที่เข้าใจระบบและสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ นี่คือการฝัง “ความพร้อม” ลงไปใน DNA ของพลเมืองอย่างแท้จริง

รองศาสตราจารย์มิโฮ ทิ้งท้ายในประเด็นนี้ด้วยตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลังว่า “การลงทุนเพื่อการป้องกันและเตรียมพร้อมล่วงหน้า 1 ดอลลาร์ สามารถประหยัดเงินค่าความเสียหายและการฟื้นฟูเยียวยาได้ถึง 33 ดอลลาร์” ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคน

กรุงเทพฯ: โจทย์ยากของเมืองที่ ‘คนแปลกหน้า’ อาศัยอยู่ร่วมกัน
เมื่อหันกลับมาพิจารณาบริบทของประเทศไทย รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ซับซ้อนและเปราะบางยิ่งกว่ากรณีศึกษาของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในมิติของโครงสร้างทางสังคมเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำสูง
“กรุงเทพฯ เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ด้านหนึ่งเรามีชุมชนดั้งเดิมหรือชุมชนเปราะบางริมคลอง ซึ่งจุดแข็งของพวกเขาคือสายใยความผูกพัน (Strong bonding) เพื่อนบ้านรู้จักกัน ช่วยเหลือกัน แต่จุดอ่อนคือการขาดแคลนทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เรามีคอนโดมิเนียมหรูระฟ้าและหมู่บ้านจัดสรรที่มีความพร้อมด้านกายภาพและทรัพยากรสูงมาก แต่กลับเปราะบางที่สุดในแง่ความสัมพันธ์ทางสังคม เพราะผู้อยู่อาศัยแทบไม่รู้จักเพื่อนข้างห้อง หรือไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกันในยามฉุกเฉิน” รองศาสตราจารย์ทวิดา ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ทางสังคมที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกของความเจริญ
นอกเหนือจากความเหลื่อมล้ำทางกายภาพแล้ว ประเด็นสำคัญที่ กทม. กำลังเร่งแก้ไขคือการถมช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่า “First Mile” และ “Last Mile” ให้มาบรรจบกัน
First Mile (ไมล์แรก) คือ ด่านหน้าสุดของภัยพิบัติ นั่นคือประชาชนในพื้นที่ผู้สัมผัสเหตุการณ์จริง เป็นผู้เห็นระดับน้ำที่กำลังเอ่อล้นตลิ่ง หรือเห็นฝาท่อระบายน้ำที่แตกชำรุด ภูมิปัญญาและการสังเกตการณ์ของคนกลุ่มนี้คือข้อมูลที่สดใหม่และแม่นยำที่สุด
Last Mile (ไมล์สุดท้าย) คือ ปลายทางของข้อมูลเชิงเทคนิค นโยบาย ระเบียบราชการ และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ภาครัฐถือครองอยู่
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบริหารจัดการภัยพิบัติในกรุงเทพฯ ไม่ใช่การขาดแคลนข้อมูล แต่คือ “การสื่อสาร” ที่ล้มเหลว รัฐมักมีข้อมูลมหาศาลแต่ไม่สามารถแปลงเป็นภาษาที่ประชาชนเข้าใจได้ ในขณะที่เสียงเตือนภัยจากประชาชนหน้างาน (First Mile) ก็มักจะส่งไปไม่ถึงหูของผู้มีอำนาจตัดสินใจ (Last Mile) ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้าและไม่ตรงจุด
รองศาสตราจารย์ทวิดา ย้ำอย่างหนักแน่นว่า บทบาทของผู้บริหารเมืองในยุคสมัยใหม่ต้องเปลี่ยนไป ไม่ใช่การใช้อำนาจสั่งการแบบบนลงล่าง (Top-down) อีกต่อไป แต่คือหน้าที่ในการทำข้อมูลที่ซับซ้อนให้ “มองเห็นได้และเข้าใจง่าย” (Data Visualization) เพื่อสร้างสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรับมือวิกฤติ นั่นคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” (Trust) เมื่อประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ พวกเขาจะสามารถตัดสินใจวางแผนชีวิตและดูแลความปลอดภัยของตนเองได้ในเบื้องต้น โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงฝ่ายเดียว
วิศวกรรมยุค ‘หงส์ดำ’: เมื่ออดีตทำนายอนาคตไม่ได้และความแข็งแกร่งอาจไม่ใช่คำตอบ
ในมุมมองทางวิศวกรรมที่มักยึดถือตัวเลขและสถิติเป็นสรณะ รศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ (Department of Water Resource Engineering) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กระตุกต่อมคิดผู้ฟังด้วยความจริงที่น่ากังวลว่า ตำราวิศวกรรมแบบดั้งเดิมที่เราใช้กันมาหลายทศวรรษ อาจกำลังหมดอายุลงในยุคที่โลกเผชิญกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
“ตลอดมา วิศวกรเราถูกพร่ำสอนให้ออกแบบโครงสร้างโดยอิงจากสถิติข้อมูลย้อนหลัง (Return Period) เช่น การคำนวณรอบการเกิดน้ำท่วมในรอบ 30 ปี หรือ 100 ปี โดยมีสมมติฐานว่าอนาคตจะเป็นเหมือนอดีต แต่ในความเป็นจริงปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Black Swan’ หรือปรากฏการณ์หงส์ดำ ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เหนือความคาดหมาย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบรุนแรงมหาศาล ข้อมูลในอดีตจึงไม่สามารถใช้ทำนายความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติในอนาคตได้อีกต่อไป” รศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อธิบายถึงข้อจำกัดของศาสตร์วิศวกรรมยุคเก่า
ความน่ากลัวไม่ได้หยุดอยู่แค่ความรุนแรงของภัยพิบัติ แต่ยังรวมถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น รศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ ขยายความว่า ภัยพิบัติในปัจจุบันมักไม่มาเดี่ยว แต่มาในรูปแบบ “Cascade Effect” หรือผลกระทบแบบลูกโซ่ที่ล้มทับถมกันเหมือนโดมิโน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือสถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่มักเกิดจาก “พายุที่สมบูรณ์แบบ” (Perfect Storm) เมื่อมวลน้ำเหนือหลากลงมาประจวบเหมาะกับช่วงน้ำทะเลหนุนสูง พร้อมกับการเกิดฝนตกหนักฉับพลันในพื้นที่ ซ้ำร้ายระบบระบายน้ำหรือเครื่องสูบน้ำอาจเกิดขัดข้องพร้อมกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันจนระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกออกแบบมาแบบแยกส่วน (Silo) ไม่สามารถรับมือไหว
ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้จึงไม่ใช่การระดมสร้างเขื่อนที่สูงขึ้นหรือท่อที่ใหญ่ขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Mindset) จากความพยายามที่จะ “เอาชนะธรรมชาติ” (Conquer Nature) มาเป็นการ “การยอมรับความเสี่ยง” (Risk Acceptance)
“เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า เราไม่สามารถออกแบบเมืองที่ปลอดภัย 100% ได้ การลงทุนเพื่อป้องกันภัยพิบัติให้เป็นศูนย์นั้นเป็นไปไม่ได้และไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ สิ่งที่เราทำได้คือการออกแบบระบบให้มีความ ‘ยืดหยุ่น’ (Resilience)”
ความยืดหยุ่นในที่นี้หมายถึง ความสามารถในการ “ล้มแล้วลุก” (Bounce back) คือยอมให้ระบบได้รับความเสียหายได้บ้างในระดับที่ควบคุมได้ (Fail-safe) ไม่ใช่พังทลายทั้งหมด และเมื่อภัยผ่านพ้นไป ชุมชนและเมืองต้องสามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว การสร้างเมืองที่ “ไม่มีวันน้ำท่วม” นั้นเป็นเพียงภาพฝัน แต่การสร้างเมืองที่สามารถ “อยู่ร่วมกับน้ำ” และบริหารจัดการความเสียหายให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ คือเป้าหมายที่แท้จริงและยั่งยืนกว่า
อสังหาริมทรัพย์: เมื่อ ‘ความปลอดภัย’ ต้องต่อสู้กับ ‘ความลืมง่าย’ ของมนุษย์
เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนโดย ปริญญา โกวิทจินดาชัย กรรมการผู้บริหาร บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดมุมมองที่ท้าทายและน่าสนใจในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องทำงานกับ “ความต้องการ” ของผู้บริโภคโดยตรง เขาชี้ให้เห็นถึงกำแพงที่มองไม่เห็นแต่มั่นคงที่สุดในการขับเคลื่อนสังคมที่พร้อมรับมือภัยพิบัติ นั่นคือ “พฤติกรรมและความทรงจำของมนุษย์”
“ความจริงที่เจ็บปวดในโลกธุรกิจคือ มนุษย์เรามีความจำในรูปแบบที่เรียกว่า Episodic Memory หรือความจำที่ผูกติดกับเหตุการณ์เป็นฉาก ๆ เราจะตระหนักรู้และตื่นตัวสุดขีดเฉพาะในช่วงเวลาที่วิกฤติกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 ในช่วงเวลานั้นและหลังจากนั้นไม่นาน ลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในโครงการจะถามคำถามแรกเหมือนกันหมดว่า ‘ที่นี่น้ำท่วมไหม?’ หรือ ‘มีระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างไร?’”
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป สายน้ำแห้งเหือด ความทรงจำเหล่านั้นก็จางหายไปตามกาลเวลา วันนี้คำถามเหล่านั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว สิ่งที่ลูกค้ามองหาและให้ความสำคัญกลับไปอยู่ที่เรื่องของความสวยงาม ดีไซน์ที่ทันสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประจำวัน มากกว่าความปลอดภัยจากภัยพิบัติที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว” คุณปริญญา สะท้อนภาพความเป็นจริงที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ
ในเชิงการตลาด การขายสินค้าที่มีจุดขายเป็น “ความพร้อมรับมือภัยพิบัติ” (Disaster Preparedness) จึงเป็นเรื่องยากและท้าทายอย่างยิ่ง เพราะผู้คนมักมองว่าเป็นการจ่ายเงินเพิ่มให้กับสิ่งที่อาจจะ “ไม่ได้ใช้” อย่างไรก็ตาม คุณปริญญาชี้ให้เห็นถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ โดยยกตัวอย่างการเปลี่ยนผ่านของ “เทรนด์สุขภาพ” (Health & Well-being)
“เราเห็นบทเรียนจากวิกฤติฝุ่น PM 2.5 ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เครื่องฟอกอากาศหรือระบบกรองอากาศในบ้านเคยเป็น ‘ของฟุ่มเฟือย’ (Nice to have) ที่มีเฉพาะในบ้านหรู แต่วันนี้เมื่อภัยคุกคามต่อสุขภาพกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มองเห็นและสัมผัสได้ มันได้กลายเป็น ‘ของต้องมี’ (Must have) ที่ผู้บริโภคเรียกร้อง นี่คือโมเดลที่เราต้องพยายามทำให้เกิดขึ้นกับเรื่องการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ”
ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ คุณปริญญาได้ยกตัวอย่างการปรับตัวเชิงรุกที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งสะท้อนหัวใจของ Anticipatory Design (การออกแบบที่คิดเผื่อล่วงหน้า) ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ การย้ายตำแหน่งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Breaker Box) จากชั้นล่างขึ้นไปไว้ที่ชั้น 2 ของบ้าน
“นี่คือการลงทุนเพิ่มเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนการก่อสร้าง แต่ผลลัพธ์ของมันมหาศาล เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมชั้นล่าง ผู้อยู่อาศัยจะไม่ถูกตัดขาดจากไฟฟ้าทั้งบ้าน พวกเขายังสามารถใช้ชีวิต ปรุงอาหาร และสื่อสารขอความช่วยเหลือได้จากชั้นบน นี่คือตัวอย่างของการออกแบบที่ไม่ได้เน้นความหรูหรา แต่เน้นที่ความอยู่รอดและการรักษาคุณภาพชีวิตในยามวิกฤติ ซึ่งภาคเอกชนสามารถลงมือทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอกฎหมายบังคับ”
นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงเรื่อง “ชื่อเสียงของแบรนด์” (Brand Reputation) ที่เป็นแรงจูงใจสำคัญให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต้องใส่ใจเรื่องนี้ แม้ลูกค้าอาจมองไม่เห็นระบบระบายน้ำหรือโครงสร้างป้องกันที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน แต่หากเกิดภัยพิบัติแล้วโครงการสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ในขณะที่พื้นที่โดยรอบเสียหาย นั่นคือเครื่องพิสูจน์คุณภาพที่ทรงพลังที่สุดที่สร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว
การลงทุนที่แพงที่สุดคือ ‘ความไม่รู้’ และ ‘ความไม่เชื่อใจ’

วงเสวนาปิดท้ายด้วยข้อสรุปที่สอดคล้องและเป็นเอกฉันท์ว่า แม้เราจะมีเทคโนโลยีพยากรณ์อากาศที่แม่นยำที่สุด หรือมีงบประมาณก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานมหาศาลเพียงใด สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง “เครื่องมือ” เท่านั้น แต่หัวใจที่แท้จริงที่จะชี้ชะตาความอยู่รอดของประชาชนคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” (Trust) และ “การสื่อสาร” (Communication) ที่มีประสิทธิภาพ
การสื่อสารในภาวะวิกฤติต้องก้าวข้ามการรายงานข้อมูลดิบทางเทคนิค เช่น ค่าความเข้มข้นของฝุ่น หรือระดับความสูงของน้ำเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ไปสู่การให้ข้อมูลที่นำไปปฏิบัติได้จริง หรือ Actionable Information
“ประชาชนไม่ได้ต้องการทราบตัวเลขทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน แต่พวกเขาต้องการรู้ว่า ‘ฉันต้องทำอะไร’ และ ‘ฉันต้องทำเมื่อไหร่’”
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือระบบการเตือนภัยแผ่นดินไหวของญี่ปุ่น ที่ไม่ได้รายงานเพียงแค่ “มาตราริกเตอร์” (Magnitude) ซึ่งบอกพลังงานที่จุดศูนย์กลาง แต่เน้นที่ มาตราชินโด (Shindo Scale) ซึ่งบอกระดับความรุนแรงของการสั่นสะเทือนที่ “มนุษย์รู้สึก” ณ จุดนั้น ๆ เช่น สั่นระดับนี้เดินไม่ได้ สั่นระดับนี้เฟอร์นิเจอร์จะล้ม หรือสั่นระดับนี้ต้องมุดลงใต้โต๊ะทันที การสื่อสารที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกและการกระทำนี้เอง คือกุญแจสำคัญที่ทำให้คนญี่ปุ่นรอดชีวิต
ในมิติของความคุ้มค่า รองศาสตราจารย์มิโฮ ได้ทิ้งท้ายด้วยตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลังและน่าจะกระตุ้นให้ผู้กำหนดนโยบายต้องหันมาทบทวนการจัดสรรงบประมาณใหม่
“งานวิจัยยืนยันชัดเจนว่า การลงทุนเพื่อการป้องกันและเตรียมพร้อมล่วงหน้า 1 ดอลลาร์ สามารถประหยัดเงินค่าความเสียหายและการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติได้ถึง 33 ดอลลาร์ นี่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดและคุ้มค่าที่สุดเท่าที่สังคมหนึ่งจะทำได้”

งานเปิดตัวหนังสือ “Design Before Disaster” ในวันนี้ จึงมีนัยสำคัญที่มากกว่าการเปิดตัวหนังสือวิชาการหรือการนำเสนอกรณีศึกษาจากญี่ปุ่น แต่เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัย (Wake-up call) ถึงสังคมไทยว่า เราไม่สามารถใช้ชีวิตบนความประมาทหรือคาดหวังให้ “ความปกติ” แบบเดิมหวนกลับมาได้อีกต่อไป

การรับมือภัยพิบัติในศตวรรษที่ 21 คือ “การออกแบบวิถีชีวิต” และเราทุกคน—ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรที่ออกแบบเขื่อน นักออกแบบที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ผู้บริหารเมืองที่วางผังเมือง หรือแม้แต่ประชาชนคนธรรมดาที่จัดบ้านของตัวเอง—ล้วนมีบทบาทเป็น “Designer” ที่ต้องร่วมกันออกแบบอนาคตเพื่อความอยู่รอด ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
เรียบเรียงจากงานเปิดตัวหนังสือ “Design Before Disaster: Japan’s Culture of Preparedness” วันที่ 1 ธันวาคม 2025 ณ MIT Sloan ASEAN Office อาคาร Asia Centre
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ชี้ชะตา 2026: ‘ร่างพ.ร.บ. สตาร์ตอัป’ เดิมพันสุดท้ายกู้ชีพวิกฤติทุนไหลออก
ดร.พลัง x Buffalo Gags: วิธีคิด ‘ครีเอเตอร์’ ให้รอดและยั่งยืนในยุคดิจิทัล




