ตัวเลขยอดการเข้าชม (View) และยอดกดถูกใจ (Like) มักถูกเชิดชูให้เป็นมาตรวัดความสำเร็จสูงสุดบนสมรภูมิสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่กำลังดุเดือด แต่หากมองลึกลงไปหลังจอโทรศัพท์ เบื้องหลังคลิปที่เป็นกระแสไวรัล (Viral) เหล่านั้น คือหยาดเหงื่อ การต่อสู้ทางความคิด และความพยายามที่จะยืนหยัดในอุดมการณ์ของ “มนุษย์” ที่เรียกตัวเองว่า “นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator)”
บนเวทีเสวนา Creator Voice ในงาน “CREATORVERSE: SHAPING THAILAND CREATOR ECONOMY” ขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจครีเอเตอร์ไทย ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การรวมตัวของคนดังในโลกออนไลน์ แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ “เสียง” ของคนทำงานจริงได้ถูกได้ยิน นำโดย 3 นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ระดับแถวหน้าของวงการที่ต่างที่มาแต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือ แพร – พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ เจ้าของช่อง PEAR is hungry ผู้เปลี่ยนความหิวให้เป็นพลังรักษ์โลก แซม – พลสัน นกน่วม ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์บนติ๊กต็อก (TikTok Creator Expert) และเจ้าของช่อง เล่าเรื่องแบรนด์กับคุณแซม – พลสัน ผู้ย่อยโลกธุรกิจอันซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องสนุก และ แอ้ม – นัชชา ทองธราดล เจ้าของช่อง ampossible อดีตผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup) ที่ผันตัวมาปฏิวัติการเรียนรู้ผ่านหน้าจอ
บทสนทนาบนเวที จึงเปรียบเสมือนกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนภาพความเป็นจริงของวงการสื่อไทย ตั้งแต่ก้าวแรกที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล (Passion) ไปจนถึงกำแพงสูงตระหง่านในโลกความเป็นจริง และข้อเสนอแนะที่แหลมคมต่อระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ทุกคนถวิลหา
จุดกำเนิดตัวตน: เมื่อ “ความหลงใหล (Passion)” คือเข็มทิศนำทาง
เส้นทางของนักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ตัวจริงมักไม่ได้เริ่มจากความต้องการชื่อเสียง แต่เริ่มจากการมองเห็น “ปัญหา” และอยากใช้ทักษะของตนเองเข้าไปแก้ไข
จากห้องเรียนที่น่าเบื่อสู่เทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) ที่สนุกสุดเหวี่ยงคุณแอ้ม-นัชชา เล่าถึงจุดเปลี่ยนจากคนทำธุรกิจสตาร์ตอัป (Startup) ด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) ที่พบว่าความรู้ในห้องเรียนมักถูกจำกัดกรอบความน่าสนใจ เธอจึงตั้งคำถามว่า “ทำไมการเรียนรู้มันสนุกไม่ได้?” ท่ามกลางบริบทที่เด็ก ๆ เรียนรู้จากเกมและสื่อออนไลน์ได้รวดเร็วกว่าในตำรา
คุณแอ้ม-นัชชาจึงตัดสินใจกระโดดลงมาในสนามนี้ด้วยตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ “การวิจัยตลาด” อย่างเข้มข้น เธอไม่ได้แค่เริ่มทำคลิป แต่เริ่มจากการสืบค้นแฮชแท็ก (Hashtag) เพื่อดูว่าในตลาดมีใครทำเนื้อหาการศึกษาอยู่บ้าง และพบช่องว่างมหาศาลที่เธอสามารถเข้าไปเป็น “หัวแถว” ได้ เนื้อหา (Content) ของ Ampossible จึงไม่ใช่แค่การสอนหนังสือ แต่เป็นการตั้งคำถามชวนสงสัย เช่น “ทำไมป้ายทะเบียนรถมีสีเขียวสีขาว” เพื่อกระตุ้นต่อมเอ๊ะ! ของผู้ชม
เปลี่ยนยาขมธุรกิจให้เป็นขนมหวานที่เคี้ยวง่าย ทางด้าน คุณแซม-พลสัน อดีตบรรณาธิการนิตยสารธุรกิจที่คลุกคลีกับข้อมูลเชิงลึกมาอย่างยาวนาน มองเห็นปัญหา (Pain Point) สำคัญว่า ข่าวธุรกิจและการตลาดมักถูกเล่าด้วยศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก เขาเปรียบตัวเองเป็นเหมือน “ล่าม” ที่ทำหน้าที่แปล “ภาษาธุรกิจ” ให้เป็น “ภาษาชาวบ้าน” จุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงโควิด-19 ที่ธุรกิจล้มระเนระนาด เขาจึงหยิบยกกรณีศึกษาต่าง ๆ มาเล่าเพื่อเป็นทางรอดให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยคลิปที่แจ้งเกิดอย่างแท้จริงคือการวิเคราะห์รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Model) จากการ์ตูนเรื่อง “ดาบพิฆาตอสูร” (Demon Slayer) ที่มียอดการเข้าชม (View) ทะลุแสนในชั่วข้ามคืน พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องธุรกิจก็เข้าถึงคนวงกว้าง (Mass) ได้ถ้าเล่าให้เป็น
จากนักกินสู่นักกู้โลก (แบบไม่ยัดเยียด) สำหรับ คุณแพร-พิมพ์ลดา เส้นทางของเธอเริ่มจากความสุขในการกินตามชื่อช่อง PEAR is hungry แต่เมื่อทำไปได้ระยะหนึ่ง เธอเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและขยะอาหาร (Food Waste) ความหลงใหล (Passion) ของเธอจึงยกระดับไปสู่ความยั่งยืน (Sustainability) แต่โจทย์ยากคือจะทำอย่างไรให้เรื่องเครียด ๆ อย่าง “รักษ์โลก” กลายเป็นเรื่องที่คนอยากดู เธอจึงเลือกใช้วิธีแทรกซึมเนื้อหาเข้าไปในวิถีชีวิต (Lifestyle) เช่น แคมเปญกินหมดจาน หรือการพกแก้วน้ำ โดยทำให้ดูเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การสั่งสอน แต่เป็นการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
ความจริงที่ไม่ได้สวยหรู: กับดักรายได้และการยืนระยะ
เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยงาม คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ เพราะ “ความหลงใหล (Passion) เพียงอย่างเดียว จ่ายค่าน้ำค่าไฟไม่ได้”
คุณแพร-พิมพ์ลดา เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาในฐานะผู้ประกอบการสื่อว่า การทำเนื้อหา (Content) เพื่อสังคมต้องใช้ต้นทุน ทั้งค่าอุปกรณ์ ค่าเดินทาง และที่สำคัญคือ “เงินเดือนทีมงาน” หากนักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ไม่สามารถเปลี่ยนยอดการเข้าชม (View) ให้เป็นรายได้ สุดท้ายอุดมการณ์ก็จะตายไปพร้อมกับความหิวโหย เธอย้ำว่าการที่แบรนด์หรือผู้สนับสนุน (Sponsor) เข้ามาสนับสนุน ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่คือกลไกสำคัญที่จะทำให้ระบบนิเวศ (Ecosystem) นี้หมุนต่อไปได้
คุณแซม – พลสัน เสริมในประเด็นการ “ลองผิดลองถูก” ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ เขาเคยหลงทางทำคลิปแมวตามกระแสเพราะหวังยอดการเข้าชม (View) แต่กลับได้มาเพียง 200 ครั้งและความว่างเปล่า เพราะมันไม่ใช่ตัวตน บทเรียนราคาแพงนี้สอนให้รู้ว่า การทำธุรกิจสื่อต้องรู้จักกลุ่มผู้ชม (Audience) ของตัวเองให้ชัดเจน การมียอดการเข้าชม (View) หลักล้านแต่ขายของไม่ได้ ไม่มีประโยชน์เท่ากับยอดการเข้าชมหลักหมื่นแต่คนดูพร้อมจะสนับสนุนเราจริง ๆ
สงครามคุณภาพ: เมื่ออัลกอริทึม (Algorithm) ไม่ใช่พระเจ้า
ขณะที่แพลตฟอร์ม (Platform) ต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนขั้นตอนวิธีประมวลผลหรืออัลกอริทึม (Algorithm) รายวัน และเนื้อหาขยะ (Content Trash) เกลื่อนเมือง นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) น้ำดีจะเอาชนะได้อย่างไร?
กลยุทธ์การสร้างชุมชนเหนืออัลกอริทึม (Community over Algorithm) คุณแอ้ม-นัชชา เสนอทางออกที่น่าสนใจว่า เราไม่ควรวิ่งตามอัลกอริทึม (Algorithm) จนเสียตัวตน แต่ควรเน้นที่การสร้าง “ชุมชน (Community)” ของตัวเอง เธอเลือกที่จะสื่อสารกับกลุ่มครูและนักเรียนอย่างต่อเนื่อง สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนความรู้ จนเกิดเป็นฐานแฟนคลับ (Fanbase) ที่แข็งแกร่ง เมื่อคนดูเชื่อใจ ไม่ว่าเราจะทำเนื้อหา (Content) อะไร เขาก็พร้อมจะติดตาม ซึ่งนี่คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในวันที่แพลตฟอร์ม (Platform) ลดการมองเห็น
คุณแซม – พลสัน เสริมเรื่องความยากของการทำเนื้อหาความรู้ในรูปแบบวิดีโอสั้น (Short Video) ว่ามีความท้าทายมหาศาล เพราะต้องแข่งกับคลิปเต้นหรือคลิปตลกภายในเวลาไม่กี่วินาที โจทย์คือต้อง “กระชับ ฉับไว แต่ได้เนื้อหาครบถ้วน” เขาต้องฝึกฝนทักษะการเล่าเรื่อง (Storytelling) ใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนบทความยาวเหยียดให้เหลือเพียง 1 นาที โดยที่สาระสำคัญต้องไม่ตกหล่น ซึ่งต้องอาศัยทักษะการย่อยข้อมูลชั้นสูง
เสียงเพรียกหา ‘ระบบนิเวศ (Ecosystem)’ ที่เกื้อกูลจากภาครัฐ
ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดบนเวที คืออุปสรรคในการทำงานร่วมกับภาครัฐ ซึ่งเปรียบเสมือนก้างชิ้นโตที่ขวางกั้นการพัฒนาวงการสื่อสร้างสรรค์
ขอบเขตของงาน (TOR): กรงขังความคิดสร้างสรรค์ ทั้ง 3 ท่านเห็นพ้องต้องกันว่า ระบบการจัดซื้อจัดจ้างและขอบเขตของงาน (TOR) รวมถึงระเบียบราชการไทย มีความแข็งตัวเกินไป ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของงานออนไลน์ที่ต้องการความรวดเร็วและยืดหยุ่น การกำหนดขอบเขตงานที่ตายตัว การตรวจรับงานที่ล่าช้า และเอกสารกองโต ทำให้นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธงานภาครัฐ ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกเขามีศักยภาพที่จะช่วยสื่อสารนโยบายดี ๆ ได้มาก
ทฤษฎียัดยาใส่ขนมแมว คุณแพร-พิมพ์ลดา เปรียบเทียบไว้อย่างเห็นภาพว่า ภาครัฐมักต้องการสื่อสารข้อมูลปริมาณมากในลักษณะการขายแบบยัดเยียด (Hard Sale) และต้องการให้พูดตามบทพูด (Script) เป๊ะ ๆ เหมือนการบังคับป้อนยาขมให้แมว ซึ่งผลลัพธ์คือแมว (คนดู) จะคายทิ้งทันที สิ่งที่นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ทำได้ดีกว่า คือการ “บดยาผสมในขนมแมวเลีย” คือการนำสาระมาห่อหุ้มด้วยความบันเทิงและรูปแบบ (Style) ที่คนดูชอบ แต่กระบวนการนี้ต้องการ “ความไว้วางใจ” จากผู้ว่าจ้าง ให้พวกเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง
อนาคตอยู่ในมือคนที่ ‘ไม่หยุดทำ‘
แม้เส้นทางจะขรุขระและระบบนิเวศ (Ecosystem) ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่บทสรุปจากเวที Creator Voice คือการส่งต่อพลังใจให้คนทำงาน
คุณแซม – พลสัน ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดเตือนใจว่า “สิ่งที่นักธุรกิจไม่รู้และทำแล้วเจ๊ง คือการไม่รู้ว่าตัวเองทำไปทำไม” ดังนั้น นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า “เหตุผล (Why)” ของเราคืออะไร ถ้าคำตอบชัดเจน เราจะยืนระยะได้นานพอ
คุณแอ้ม-นัชชาปิดท้ายด้วยความเชื่อมั่นว่า “ถ้าเราสร้างคุณค่าได้มากพอ สังคมจะมองเห็นเราเอง” การเป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) ไม่ใช่แค่การสร้างคลิป แต่คือการสร้างผลกระทบ (Impact) เชิงบวกต่อผู้คน และเมื่อนั้น ทั้งรายได้ โอกาส และความสำเร็จ จะวิ่งเข้าหาเราเอง
บทความนี้จึงไม่ใช่แค่การสรุปงานเสวนา แต่คือ “จดหมายเปิดผนึก” จากคนวงใน ที่หวังว่าเสียงของพวกเขาจะดังไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) สื่อไทยที่นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator) สามารถเติบโตได้อย่างสง่างามและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิสัยทัศน์ ‘ดร.นิเวศน์’ กับทางรอดนักลงทุน VI เมื่อ AI ครองเมือง
Design Before Disaster: ออกแบบเพื่อ ‘อยู่รอด’ ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม




