Share on
×

Share

ลงทุน 2026: พลิกเกม ‘Physical AI’ – คว้าโอกาสบนฟองสบู่

ลงทุน 2026: พลิกเกม ‘Physical AI’ - คว้าโอกาสบนฟองสบู่

การนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2026 เกิดขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รุนแรง ผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปของเมืองไทยมองเห็นภาพเดียวกันว่า โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองยุคอย่างชัดเจน คือ “ยุคก่อน AI” และ “ยุคหลัง AI” การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของซอฟต์แวร์บนหน้าจออีกต่อไป ทว่ากำลังกลายเป็นการปฏิวัติที่จับต้องได้ในโลกแห่งความเป็นจริง

เวทีเสวนา Wealth Creation in the Volatile World ภายใต้ธีม “AI Era” ได้ระดมสมองจาก 4 กูรูการลงทุนชั้นนำ ได้แก่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย, ซีเค เจิง CEO จาก Fastwork Technologies, สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) และ คริส Trader KP ผู้ร่วมก่อตั้ง Trader KP เพื่อถอดรหัสวิสัยทัศน์การลงทุนและเฟ้นหา “ผู้ชนะ” ในสมรภูมิใหม่

ทฤษฎี “ราชินีผึ้ง” และการเคลื่อนย้ายมูลค่าสู่โลกกายภาพ (Physical AI)

ซีเค เจิง CEO จาก Fastwork Technologies อธิบายโครงสร้างอำนาจในโลกเทคโนโลยีผ่านแนวคิด “ราชินีผึ้ง” (Queen Bee) โดยระบุว่าธรรมชาติของระบบนิเวศทางธุรกิจจำเป็นต้องมีแกนกลางที่ทำหน้าที่เสมือนราชินีผึ้ง ในทศวรรษที่ผ่านมา Apple และระบบปฏิบัติการ iOS ครองตำแหน่งนี้ แอปพลิเคชันต่าง ๆ เปรียบเสมือนรังผึ้งที่ต้องสร้างขึ้นโดยอิงอาศัยและทำงานอยู่บนระบบของราชินีผึ้งตัวนี้

ปัจจุบันศูนย์กลางอำนาจได้เปลี่ยนมือไปสู่ Nvidia สาเหตุสำคัญมาจากการที่อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกล้วนต้องทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานของชิปประมวลผล (GPU) จาก Nvidia ทรัพยากรเหล่านี้กลายเป็นสิ่งขาดแคลนที่เข้าถึงยาก แม้ผู้ซื้อจะมีเงินทุนมหาศาลก็ไม่อาจหาซื้อได้โดยง่าย เนื่องจากถูกจับจองโดยผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลกจนหมดสิ้น ทำให้ Nvidia กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับความฉลาดของ AI ทุกค่ายในเวลานี้

จุดเปลี่ยนปี 2026: จากโลกดิจิทัล (Bits) สู่โลกกายภาพ (Atoms)

คุณซีเค วิเคราะห์ทิศทางในปี 2026 ว่าจะเกิดการเปลี่ยนผ่านของนวัตกรรมจากสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ (Bits) เข้าสู่โลกกายภาพ (Atoms) หรือสิ่งที่เรียกว่า “Physical AI”

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากพฤติกรรมมนุษย์ที่มักให้มูลค่ากับสินค้าที่จับต้องได้สูงกว่าสินค้าดิจิทัล เห็นได้จากการที่ผู้บริโภคอาจลังเลที่จะจ่ายค่าบริการแอปพลิเคชันรายเดือน แต่กลับยินดีจ่ายเงินราคาสูงเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ทั้งที่ต้นทุนการผลิตจริงอาจต่ำกว่าราคาขายมาก ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่าธุรกิจที่มีสินค้าเป็นชิ้นเป็นอันมีโอกาสทำกำไรส่วนต่าง (Margin) ได้สูงกว่าธุรกิจดิจิทัลเพียงอย่างเดียว

โอกาสทางธุรกิจในยุคหน้าจึงอยู่ที่การผสานความฉลาดของ AI เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ (IoT) ที่อยู่รอบตัว ตั้งแต่ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไปจนถึงยานยนต์ ส่งผลให้ “ความสามารถด้านการผลิต” (Manufacturing Capabilities) กลับมาเป็นหัวใจสำคัญแห่งชัยชนะ ประเทศหรือบริษัทที่มีฐานการผลิตแข็งแกร่งและสามารถพัฒนาฮาร์ดแวร์ที่รองรับ AI ได้ จะกลายเป็นผู้กุมความได้เปรียบในยุค Physical AI ที่กำลังจะมาถึง

ผ่ากลยุทธ์ “Xiaomi” ผู้ชนะที่มาทีหลังแต่ดังกว่าด้วยโมเดล “Human x Car x Home”

ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย และต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) อธิบายถึงการปรับตัวของปรัชญาการลงทุนท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยยืนยันว่าแม้เครื่องมือหรือสินทรัพย์จะเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของการวิเคราะห์ธุรกิจด้วยกรอบคิดดั้งเดิมอย่างการพิจารณาขีดความสามารถทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) และระบบนิเวศ (Ecosystem) ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ

คุณทิวาหยิบยก Xiaomi ขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนความเป็น “ผู้ชนะ” ในยุคถัดไปได้อย่างชัดเจน โดยชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญว่า Xiaomi ไม่ใช่ผู้บุกเบิก (First Mover) ในตลาดใดเลย แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้ในทุกสมรภูมิ

ในตลาดสมาร์ทโฟน Xiaomi เข้าสู่ตลาดเป็นรายท้าย ๆ ในช่วงที่มีผู้เล่นกว่า 2,000 ราย แต่กลับสามารถเบียดแซงจนขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกได้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่เติบโตจาก 5% ในช่วงเริ่มต้น สู่ 14.9% ในปัจจุบัน

ขณะที่ในตลาดรถยนต์ EV เมื่อประกาศทำรถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi ก็เป็นค่ายท้ายๆ ที่กระโดดเข้ามา แต่ด้วยศักยภาพในการผลิตและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ทำให้สามารถทำอัตรากำไร (Gross Margin) ได้น่าประทับใจ คือประมาณ 15.4% ในเวลาอันสั้น

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่เกิดจาก “การบริหารจัดการที่เป็นเลิศ” (Execution Excellence) และการทุ่มงบประมาณด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างมหาศาล โดยมีตัวเลขกำไรกว่า 1.13 หมื่นล้านเหรียญ และงบ R&D สูงถึง 9.1 พันล้านเหรียญ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าบริษัทรู้จุดที่ควรลงทุนเพื่อสร้างความแตกต่างและทำกำไรได้จริง

จุดแข็งที่สุดที่ทำให้ Xiaomi กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามองในมุมมองของคุณทิวา คือการสร้างระบบนิเวศอัจฉริยะที่เชื่อมต่อ “คน (Human) x รถ (Car) x บ้าน (Home)” เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งปัจจุบันมีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT (ไม่รวมมือถือ) มากกว่า 1 พันล้านชิ้น

คุณทิวาอธิบายสถานการณ์การใช้งานจริง (Use Case) ที่ทำให้เห็นประสิทธิภาพของระบบนิเวศนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า “ลองจินตนาการว่าคุณกำลังประชุมผ่าน Zoom บนมือถือ เมื่อก้าวขึ้นรถ ระบบจะโอนการประชุมไปที่หน้าจอรถยนต์ทันทีโดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ และเมื่อขับรถใกล้ถึงบ้าน รถยนต์จะสื่อสารกับบ้านเพื่อสั่งเปิดแอร์และเครื่องฟอกอากาศรอไว้ หรือแม้แต่ตอนนั่งดูทีวี หากตู้เย็นตรวจพบว่าลืมปิดฝา ก็จะส่งการแจ้งเตือนขึ้นไปบนหน้าจอทีวีทันที”

การเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อเช่นนี้สร้างพันธนาการที่เหนียวแน่น ทำให้ผู้ใช้งานเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นได้ยาก และกลายเป็นเกราะป้องกันคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ แต่รวมถึงการเชื่อมต่อ API ของซอฟต์แวร์เบื้องหลังที่ซับซ้อน

ผ่ากลยุทธ์รับมือ “ฟองสบู่ AI”: โอกาสใน “Quantum Computing” และ “Defense Tech”

ประเด็นเรื่อง “ฟองสบู่ AI” นับเป็นความกังวลหลักที่ปกคลุมบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าฟองสบู่มีอยู่จริงหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่านักลงทุนจะปรับตัวอย่างไรเมื่อเทคโนโลยีและตลาดทุนกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจาก InnovestX วิเคราะห์สถานการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ความกังวลเรื่องฟองสบู่จะยังคงอยู่ แต่เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI จะไม่หยุดชะงัก เพียงแต่รูปแบบของการลงทุนจะเปลี่ยนจากช่วงเก็งกำไรไปสู่ช่วงที่ต้องพิสูจน์ผลกำไร (Earning Phase)

คุณสิทธิชัยระบุว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือกำหนดการทางเทคโนโลยี (Timeline) ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงปลายปี 2026 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ผลิตชิปชั้นนำอย่าง TSMC, Samsung และ Intel จะเปิดตัวสถาปัตยกรรมชิปรุ่นใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “Breakthrough” ครั้งใหญ่ที่โลกจะขยับจากการประมวลผลด้วย AI Chips แบบเดิม ไปสู่ยุคของ “Quantum Computing”

นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะในส่วนของ “ระบบระบายความร้อน” (Cooling Systems) เนื่องจากทั้ง AI Chips ขั้นสูงและ Quantum Chips ล้วนต้องการระบบจัดการความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ปัจจุบันมีบริษัทเพียงไม่กี่รายที่ครองส่วนแบ่งตลาดในเทคโนโลยีการระบายความร้อนนี้สูงถึง 70-80% ซึ่งถือเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นความจำเป็นนี้ก่อนใคร

คุณสิทธิชัยยังชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวของ AI เข้าสู่อุตสาหกรรมความมั่นคง (Defense Industry) โดยระบุว่าสงครามในยุคสมัยใหม่ได้ก้าวข้ามรูปแบบการรบแบบดั้งเดิมไปแล้ว ยุทโธปกรณ์อย่างรถถังอาจถูกลดบทบาทลง แทนที่ด้วยระบบต่อต้านขีปนาวุธ (Anti-missile Systems) และเกราะป้องกันทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Shield) ซึ่งระบบเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ AI ในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อตัดสินใจและตอบโต้ภัยคุกคามได้อย่างแม่นยำ

ความต้องการพลังการประมวลผลที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งจากการทหาร ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเทคโนโลยีอย่าง Robo Taxi ที่ต้องประมวลผลแผนที่และการขับขี่ตลอดเวลา ส่งผลให้ “พลังงาน” (Energy) กลายเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนและเป็นที่ต้องการสูงสุด การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจึงเป็นอีกหนึ่งธีมหลักที่ไม่อาจมองข้าม

ปรับทัศนคติ: “Embrace the Bubble” อย่ากลัวจนเสียโอกาส

ในขณะที่ปัจจัยมหภาคเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คริส Trader KP ผู้ร่วมก่อตั้ง Trader KP ได้นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนที่แตกต่างออกไป นั่นคือการ “Embrace the Bubble” หรือการเรียนรู้ที่จะโอบกอดและอยู่ร่วมกับฟองสบู่ แทนที่จะหลีกหนีด้วยความหวาดกลัว

คุณคริสอธิบายว่า ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดหรือทำนายได้ว่าฟองสบู่จะแตกเมื่อใด สิ่งที่นักลงทุนควบคุมได้คือ “กลยุทธ์” และ “เครื่องมือ” ที่เลือกใช้ โดยแนะนำให้ใช้เครื่องมือทางการเงินประเภท Options เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่นการใช้กลยุทธ์ขาย Put Options กับหุ้นพื้นฐานดีที่มีความผันผวนสูง (เช่น Tesla) ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) จากค่าพรีเมียมได้ในขณะที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต้องการ หรือเป็นการลดต้นทุนการถือครองหุ้นในระยะยาว

เจาะลึก 4 ธีมสินทรัพย์เปลี่ยนโลก: คัมภีร์การลงทุนปี 2026

ในช่วงท้ายของการเสวนา วิทยากรทั้ง 4 ท่านได้ฟันธงถึงสินทรัพย์และธีมการลงทุนที่น่าจับตามองสำหรับปี 2026 ดังนี้

  1. Amazon คุณซีเคมองว่า Amazon คือเบอร์หนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วย AWS ที่เป็นกระดูกสันหลังของอินเทอร์เน็ต และระบบโลจิสติกส์ที่ส่งของได้ภายในวันเดียว ซึ่งเป็นกำแพงที่ AI อย่าง OpenAI ไม่สามารถข้ามมาแข่งในโลกกายภาพได้ ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อที่ Amazon ถือครองมีมูลค่ามหาศาลและยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบ
  2. Xiaomi & IoT Ecosystem คุณทิวาเลือก Xiaomi ในฐานะผู้นำด้าน IoT ที่มีผลกำไรจริงกว่า 1.13 หมื่นล้านเหรียญ และมีการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) มหาศาลเพื่อครองตลาดบ้านและรถยนต์อัจฉริยะ การสร้างระบบนิเวศ Human x Car x Home คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Xiaomi กลายเป็นผู้ชนะในระยะยาว
  3. Diversification & Defensive Tech คุณสิทธิชัยแนะนำการกระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่ม รถยนต์หรู (Luxury Auto), กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มความมั่นคง (Defense) ที่ใช้ AI พัฒนาอาวุธสมัยใหม่ รวมถึงกลุ่มพลังงานสะอาดและชิปควอนตัม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคต
  4. Magnificent 7 มุมมองคุณคริส Trader KP มองว่าสำหรับผู้เริ่มต้น หุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent 7) เช่น Google, Meta, Apple เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย เนื่องจากมีกระแสเงินสดสูงและปรับตัวได้เร็วเมื่อเกิดวิกฤติ คุณคริสมองว่าบริษัทเหล่านี้มีทีมบริหารที่เชี่ยวชาญ (Execution) และพร้อมพลิกสถานการณ์กลับมาได้เสมอ

ผู้รอดคือผู้ที่พร้อมสู้แบบพร้อมตาย

บทสรุปของการลงทุนในปี 2026 ไม่ใช่การทำนายอนาคต แต่คือการอ่านเกมให้ขาดว่ากระแสเงินกำลังไหลไปทางไหน คุณทิวา ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดจากซีรีส์เกาหลี The Great Battle ว่า “ผู้ใดพยายามเอาตัวรอด คนนั้นตายก่อน แต่ผู้ใดที่สู้แบบพร้อมตาย คนนั้นจะรอด”สะท้อนจิตวิญญาณของการลงทุนในยุค AI Era ว่า นักลงทุนต้องกล้าศึกษาข้อมูลเชิงลึกและปรับพอร์ตโฟลิโอให้ทันต่อโลกที่กำลังเปลี่ยนจาก “หน้าจอ” ไปสู่ “ความจริง” อย่างรวดเร็ว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Longevity Economy: เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ดันไทยศูนย์กลางสุขภาพโลก

จิตตะ เปิดตัว ‘Omni Fund’ กองทุนส่วนบุคคล บริหารพอร์ตอัตโนมัติด้วย AI

×

Share

ผู้เขียน