Share on
×

Share

กฤษฎีกาชี้ทางรอด ‘กฎหมาย AI’ : โอกาสทองธุรกิจอาหารที่ใครเริ่มก่อน…ชนะ

กฤษฎีกาชี้ทางรอด 'กฎหมาย AI' : โอกาสทองธุรกิจอาหารที่ใครเริ่มก่อน...ชนะ

ใครเริ่มก่อน ชนะก่อน” ดูจะเป็นสัจธรรมใหม่ในสมรภูมิธุรกิจที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังถูกจุดระเบิดให้เป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ตัวใหม่ของไทย การเข้าถึงเทคโนโลยีที่เคยซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายดายเพียงปลายนิ้ว แต่ท่ามกลางโอกาสมหาศาลในการลดต้นทุนและสร้างแต้มต่อ ผู้ประกอบการจำนวนมากกลับยังลังเลและก้าวเท้าไม่ออก เพราะติดกับดักความกังวลเรื่อง “ความรับผิดชอบทางกฎหมาย” และความไม่ชัดเจนของกติกาภาครัฐ

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย นักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Law และ AI จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จึงเปิดมุมมองใหม่เพื่อปลดล็อกความเข้าใจผิดนี้ โดยยืนยันว่ากฎหมายไทยในปัจจุบันไม่ใช่ “กำแพง” ที่ขวางกั้นนวัตกรรม แต่เป็นกลไกที่เปิดกว้างมากกว่าที่คิด หากผู้ประกอบการ “รู้เขารู้เรา” และเข้าใจวิธีใช้เครื่องมือนี้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารที่ความแม่นยำและความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญ นี่คือบทสรุปสาระสำคัญที่จะเปลี่ยนความกลัวเป็นโอกาส

ไทยกับแต้มต่อในเวทีโลก: เราพร้อมกว่าที่คิด

ก่อนจะไปถึงเรื่องข้อกฎหมาย ดร.ณรัณ ได้ชี้ให้เห็นถึงบริบทของประเทศไทยที่ทำให้เราเป็นพื้นที่ศักยภาพสูงสำหรับการประยุกต์ใช้ AI แม้เราจะเผชิญความท้าทายเรื่องจำนวนประชากรที่เริ่มลดลง แต่ด้วยฐานประชากร 70 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ในระดับท็อป 20 ของโลก เรากลับมีความพร้อมในการรับเทคโนโลยีในระดับที่น่าทึ่ง

ตัวเลขสถิติยืนยันชัดเจน คนไทยมีการเข้าถึงสมาร์ทโฟนสูงถึง 120% (มีเครื่องที่ลงทะเบียนในระบบกว่า 90 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรที่มี 70 ล้านคน) บนโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต 5G ที่รวดเร็วและครอบคลุมกว่าหลายประเทศในยุโรป ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่าน QR Code หรือ Digital Payment ของคนไทยพุ่งสูงเฉลี่ย 500 ครั้งต่อคนต่อปี และที่น่าตกใจคือ 48% ของพนักงานออฟฟิศ (White Collar Worker) ยอมรับว่าใช้อุปกรณ์ดิจิทัลและ AI ช่วยในการทำงานแล้ว

นี่คือสัญญาณที่บอกว่า ตลาดไทยพร้อมแล้ว ประชากรพร้อมแล้ว และหากใครเริ่มใช้ AI ได้ก่อน ย่อมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ลดต้นทุน และจุดประกายการเติบโตทางธุรกิจได้ทันที

กฎหมาย AI ไทย: เน้น“ค่อยเป็นค่อยไป” เปิดพื้นที่ให้ทดลอง (Sandbox)

ในขณะที่สหภาพยุโรปมี “EU AI Act” เป็นกฎหมายแม่บทขนาดใหญ่ที่ควบคุมเข้มข้นจนเกิดข้อถกเถียงเรื่องการเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบการ ประเทศไทยกลับเลือกเส้นทางที่แตกต่าง คือแนวทางแบบ “Sectoral Approach” หรือการกำกับดูแลรายสาขา และเน้นความ “ค่อยเป็นค่อยไป”

ดร.ณรัณ อธิบายว่า ไทยยังไม่มีกฎหมายกลางที่ครอบคลุม AI ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นการตัดโอกาสหรือเพิ่มภาระให้ภาคธุรกิจโดยไม่จำเป็น แต่ใช้วิธีให้หน่วยงานกำกับดูแลแต่ละด้านพิจารณาตามความเหมาะสม

กรณีที่ยังไม่อนุญาต เช่น รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Driving) ที่ยังไม่เปิดกว้างเนื่องจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย

กรณีที่เปิดกว้างและก้าวหน้า เช่น ภาคการเงินและการประกันภัย ที่มีการใช้ Regulatory Sandbox หรือกระบะทรายทดลองทางกฎหมาย เปิดโอกาสให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทดสอบภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย หากเวิร์กและปลอดภัย ก็พร้อมขยับขยายสู่การขอใบอนุญาตจริง

ปรัชญาของกฎหมายไทยในเวลานี้คือ หากเทคโนโลยีนั้นสร้างประโยชน์ ลดต้นทุน และไม่ขัดต่อกฎหมายที่มีอยู่ รัฐพร้อมสนับสนุน แต่หากเกิดความผิดพลาด “ผู้ประกอบการ” ยังคงเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

AI กับภารกิจ “ตัวช่วย” ในอุตสาหกรรมอาหาร

เมื่อเจาะลึกมาที่อุตสาหกรรมอาหาร AI สามารถเข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายที่ซับซ้อนได้ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ๆ ที่เข้มงวดเรื่องฉลากและการคุ้มครองผู้บริโภค

ผู้ประกอบการสามารถใช้ AI ในการ …

  • ตรวจสอบความถูกต้องของฉลาก(Label Compliance) นำ AI มา Cross-check ข้อมูลบนฉลากสินค้ากับข้อกำหนดในประกาศกระทรวงฯ เช่น การระบุหน่วยปริมาตร (มิลลิลิตร) หรือข้อความบังคับต่างๆ เพื่อลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์
  • คาดการณ์ความเสี่ยงเรื่องการแพ้อาหารAI ช่วยวิเคราะห์วัตถุดิบและคาดการณ์ได้ว่าอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคกลุ่มเสี่ยงกลุ่มใดบ้าง ช่วยให้การระบุคำเตือนบนฉลากแม่นยำยิ่งขึ้น

ดร.ณรัณ ย้ำว่า การใช้เทคโนโลยีในลักษณะนี้ไม่ต้องขออนุญาตหน่วยงานรัฐ สามารถทำได้เลยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ต้องตระหนักเสมอว่า หาก AI วิเคราะห์ผิด ผู้รับผิดชอบทางกฎหมายคือเจ้าของผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ตัว AI

ระวังหลุมพราง: PDPA และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

แม้จะไม่มีกฎหมาย AI โดยตรง แต่ ดร.ณรัณ เตือนให้ผู้ประกอบการไม่มองข้ามกฎหมายข้างเคียงที่สำคัญ 2 ฉบับ คือ

  1. พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หากธุรกิจใช้ AI Chatbot ในการสื่อสารกับลูกค้า ต้องระวังการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล การขอความยินยอม (Consent) เป็นหัวใจสำคัญ อย่างไรก็ตาม กฎหมายไทยยังมีความยืดหยุ่นสำหรับ SME เพื่อลดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายในบางขั้นตอน
  2. พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สำหรับโรงงานผลิตอาหารขนาดใหญ่ที่มีระบบ Automation หรือ Supply Chain ที่เชื่อมต่อระบบสารสนเทศ หากเข้าข่ายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure) จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจกระทบต่อความมั่นคง

เทคโนโลยีคือเครื่องมือความรับผิดชอบคือมนุษย์

บทสรุปจาก ดร.ณรัณ สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ “เปิดกว้าง” สำหรับนวัตกรรม กฎหมายไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขัดขวาง แต่มีไว้เพื่อกำกับดูแลเมื่อเกิดผลกระทบ การนำ AI มาใช้ในธุรกิจอาหารจึงเป็นโอกาสทองที่ไม่ควรรอช้า แต่ต้องทำอย่าง “รู้เท่าทัน” ตรวจสอบผลลัพธ์ และใส่ใจเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล

ในวันที่กฎหมาย AI กลางยังไม่คลอด นี่คือช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และปรับตัว หากผู้ประกอบการไทยใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างชาญฉลาด เราจะไม่ใช่แค่ผู้ตามในเวทีโลก แต่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตได้

หมายเหตุ… หากท่านมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเปิดช่องทางรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ law.go.th เพื่อร่วมกันพัฒนากฎหมายไทยให้ทันสมัยและตอบโจทย์ประชาชน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘Gemini’ ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมบน Google สะท้อนคนไทยตื่นตัวเรื่อง AI

Agoda ปักหมุด One Bangkok เดิมพันปั้น ‘Silicon Valley’ กลางกรุง

×

Share

ผู้เขียน