ความผันผวนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย ส่งผลให้รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Conventional Model) ซึ่งพึ่งพาการส่งออกและอุตสาหกรรมเก่า ไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพอีกต่อไป ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในงานสัมมนาวิชาการของ TDRI โดยระบุว่าจะใช้ระยะเวลา 4 เดือนที่เหลือของรัฐบาลชุดนี้ในการ “วางรากฐานใหม่” (Reimagine Thailand’s Development Model) เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้พร้อมรับมือกับอนาคต
การดำเนินงานดังกล่าวไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่ 5 ด้านสำคัญที่มีรายละเอียดดังนี้
1. ปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานด้านทรัพยากรมนุษย์ (Soft Infrastructure) และการปรับทักษะด้วย AI
ดร.เอกนิติ อธิบายว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Hard Infrastructure) เช่น ถนนหรือระบบขนส่ง แม้จะมีความจำเป็น แต่ไม่เพียงพอต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ สิ่งที่ภาครัฐให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกคือการลงทุนใน “ทุนมนุษย์” หรือ Soft Infrastructure เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด
เปลี่ยนกระบวนการสร้างคน: ระบบการศึกษาแบบเดิมที่ใช้เวลาเรียนในมหาวิทยาลัย 3-4 ปี อาจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รัฐบาลจึงปรับเปลี่ยนแนวทางมามุ่งเน้น “หลักสูตรระยะสั้น” (Short Courses) ที่ออกแบบร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI-Driven Reskilling) เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์ความต้องการของภาคธุรกิจและสร้างหลักสูตรที่ตรงจุด เพื่อให้แรงงานสามารถเรียนรู้และนำไปใช้งานได้จริงในระยะเวลาอันสั้น
การยกระดับทักษะแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม: การพัฒนาทักษะจะครอบคลุมแรงงานในอุตสาหกรรมที่กำลังถูกลดบทบาท เช่น แรงงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) จะได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการต่อยอดทักษะเดิมสู่เทคโนโลยีใหม่โดยไม่ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด
ความร่วมมือภาคเอกชน: การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย ในการระบุทักษะที่จำเป็นและเชื่อมโยงองค์ความรู้สู่ผู้ประกอบการ SME และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด เพื่อให้การปรับตัวเกิดขึ้นทั้งระบบ
2. ยกระดับ SME และเศรษฐกิจฐานรากด้วยโมเดล “คนละครึ่ง Plus”
โครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเดิมเป็นมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จะได้รับการยกระดับเป็น “คนละครึ่ง Plus” โดยเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการเยียวยา เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจ (Incentive) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ประกอบการรายย่อย
กลไกการจูงใจ (Incentivize): ภาครัฐใช้ฐานข้อมูลร้านค้ากว่า 900,000 รายในแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยกำหนดเงื่อนไขว่า หากผู้ค้าเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรเสริมสร้างทักษะที่จำเป็น เช่น การบริหารจัดการบัญชี การลดต้นทุน หรือการทำตลาดออนไลน์ ภาครัฐจะให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติม (Top-up) อีก 20% จากยอดการใช้จ่ายปกติ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่พัฒนาตนเอง
การสร้างตัวตนทางดิจิทัลเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุน: การดึงร้านค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์มีผลพลอยได้สำคัญคือ การสร้างประวัติทางการเงิน (Digital Footprint) ที่ชัดเจน ข้อมูลรายรับรายจ่ายเหล่านี้จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถประเมินศักยภาพและอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านความร่วมมือกับธนาคารออมสิน (MyMo) และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรายย่อยอย่างเป็นรูปธรรม
3. ปลดล็อกอุปสรรคการลงทุนด้วย “BOI Fast Pass”
จากการวิเคราะห์ข้อมูลโครงการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่ามีโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่าสูงถึง 470,000 ล้านบาท จาก 47 โครงการใหญ่ที่ยังติดขัดและไม่สามารถลงทุนจริงได้ เนื่องจากอุปสรรคสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. การเข้าถึงพลังงานสะอาด 2. ขั้นตอนการขอใบอนุญาต และ 3. ปัญหาด้านที่ดิน
แนวทางแก้ไขแบบช่องทางพิเศษ: รัฐบาลได้ริเริ่มมาตรการ “BOI Fast Pass” ซึ่งเปรียบเสมือนบัตรผ่านทางด่วน (Easy Pass) ที่ช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวในขั้นตอนปกติ โดยมาตรการนี้จะลดขั้นตอนการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน เช่น กรมศุลกากร หรือกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้การอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ
เป้าหมาย: การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้จริงภายในปีหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจระยะสั้น
4. นวัตกรรมทางการเงิน: กองทุนโครงสร้างพื้นฐานทดแทนการกู้ยืม
ภายใต้สถานการณ์ที่ภาครัฐมีข้อจำกัดทางงบประมาณและหนี้สาธารณะ รัฐบาลจึงมีนโยบายปรับเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยลดการพึ่งพาเงินกู้ และหันมาใช้กลไกตลาดทุนผ่าน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และ กองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (Thailand Future Fund)
การบริหารจัดการทรัพย์สิน: หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพและมีแผนลงทุนในโครงการใหม่ โดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด เช่น โครงการโซลาร์ฟาร์ม หรือโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) สามารถระดมทุนผ่านกองทุนเหล่านี้ได้โดยตรง โดยนำรายได้ในอนาคตมาเป็นหลักประกัน แทนการขออนุมัติเงินกู้จากสถาบันการเงินซึ่งจะเป็นภาระหนี้สาธารณะ
การส่งเสริมพลังงานสะอาด: ควบคู่ไปกับการระดมทุน รัฐบาลกำลังผลักดันการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) และการอนุญาตให้บุคคลที่สามใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party Access) เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าถึงและลงทุนในพลังงานสะอาดได้สะดวกยิ่งขึ้น
5. การยึดมั่นในวินัยการคลัง: เสาหลักแห่งความเชื่อมั่น
ดร.เอกนิติ เน้นย้ำว่า การดำเนินนโยบายทั้งหมดจะต้องอยู่บนพื้นฐานของวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของประเทศในสายตานักลงทุนและสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่าง S&P
เป้าหมายตัวเลขทางการคลัง: รัฐบาลตั้งเป้าลดการขาดดุลงบประมาณจากระดับติดลบ 4.4% ของ GDP ให้กลับมาอยู่ที่ระดับ 3% ภายในปี พ.ศ. 2572 พร้อมกำหนดให้มีการตั้งงบประมาณเพื่อชำระคืนหนี้เงินต้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.4 อย่างเคร่งครัด
การปฏิรูปกฎระเบียบงบประมาณ: มีการปรับปรุงการใช้มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นช่องทางในการอนุมัติงบประมาณนอกระบบ หรือเปรียบเสมือน “เช็คเปล่า” (Blank Check) ที่หน่วยงานขอใช้งบประมาณโดยไม่มีการติดตามผล โดยต่อจากนี้ทุกโครงการจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองความคุ้มค่าและจัดลำดับความสำคัญอย่างโปร่งใส
ช่วงเวลา 4 เดือนนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเร่ง “วางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจชุดใหม่” ที่ครอบคลุมทั้งมิติด้านคน กฎระเบียบ และการเงิน เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ยกระดับ ‘อุตสาหกรรมอาหารไทย’ สู่ ‘ขุมทรัพย์ล้านล้าน’
ทีดีอาร์ไอ ชูโมเดล 2041 ปลุก ‘เครื่องจักรใหม่’ พาไทยสู่ประเทศรายได้สูง




