ภายใต้ภูมิทัศน์โลกใหม่ที่กติกาเดิมถูกรื้อทิ้ง และเทคโนโลยีกลายเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของชาติ คำถามใหญ่ที่ท้าทายสังคมไทยในยามนี้ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเชื่องช้า แต่คือความเปราะบางของ “อนาคตคนทำงาน” เมื่อความฝันที่จะได้ครอบครอง “งานดี” (Good Jobs) งานที่สร้างเกียรติ สร้างรายได้ และสร้างความมั่นคง ดูเหมือนจะลอยห่างออกไปทุกที ท่ามกลางกับดักรายได้ปานกลางที่พันธนาการศักยภาพของประเทศมายาวนาน
การจะพาประเทศไทยฝ่าคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้ ลำพังการ “ซ่อมแซม” เครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป หากแต่จำเป็นต้อง “ผ่าตัดใหญ่” ลงลึกถึงระดับโครงสร้างของระบบนิเวศนวัตกรรมและการพัฒนาคน
คำตอบของการปลดล็อกพันธนาการนี้ ถูกเปิดเผยอย่างหมดจดบนเวทีสัมมนาวิชาการสาธารณะประจำปี 2567 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ในหัวข้อ “ทักษะและนวัตกรรม สู่โมเดลการพัฒนาใหม่” โดย ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และ ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์ นักวิจัยอาวุโส ทีดีอาร์ไอ ได้ร่วมกันถอดรหัสว่าเหตุใดที่ผ่านมานโยบายของไทยจึงเป็นเหมือนการ “ต่างคนต่างเดิน” และเราจะพลิกฟื้นประเทศด้วยโมเดล “สามประสาน” (Triple Helix) ได้อย่างไร เพื่อให้คำว่า “Good Jobs” ไม่ใช่แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ อีกต่อไป
ภาพลวงตาของการพัฒนาคน: เมื่อปริมาณไม่ได้สะท้อนคุณภาพ
สถานการณ์การพัฒนาทักษะแรงงานของไทย ซึ่ง คุณณัฐสิฏ กล่าวว่า แม้ตัวเลขสถิติจะดูสวยหรูว่าในปีที่ผ่านมามีแรงงานได้รับการฝึกอบรมถึง 3.7 ล้านคน แต่เมื่อเจาะลึกถึงรายละเอียดกลับพบความจริงที่น่ากังวล
แรงงานกว่าร้อยละ 99.6 ที่ได้รับการฝึกอบรมนั้น อยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ที่ตกเป็น “เป้าบังคับ” ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ซึ่งกำหนดให้บริษัทที่มีลูกจ้างเกิน 100 คน ต้องจัดอบรมให้พนักงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มิเช่นนั้นต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ในขณะที่มีแรงงานเพียงร้อยละ 0.4 เท่านั้นที่ได้รับการฝึกอบรมจากบริษัทที่ดำเนินการด้วยความสมัครใจ

สิ่งที่สะท้อนคุณภาพได้ชัดเจนที่สุดคือ “งบประมาณต่อหัว” คุณณัฐสิฏ กล่าวว่า บริษัทที่อยู่ในข่ายบังคับมีต้นทุนการฝึกอบรมเฉลี่ยเพียง 289 บาทต่อคน เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับบริษัทที่สมัครใจจัดอบรมที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าถึง 4 เท่า หรือหากเทียบกับหลักสูตรฝึกอบรมเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่สุดจากสถาบันชั้นนำ เช่น สถาบันไทย-เยอรมัน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 3,000 บาทต่อคอร์ส
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การฝึกอบรมส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงเพื่อ “ให้ครบตามกฎหมาย” (Compliance) มากกว่าความต้องการที่จะยกระดับทักษะ (Upskilling) อย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการ “แยกส่วน” ระหว่างทักษะและเทคโนโลยี หากเราพัฒนาคนแต่ไม่มีเทคโนโลยีรองรับ ทักษะก็จะล้าสมัย และหากนำเข้าเทคโนโลยีแต่คนใช้ไม่เป็น ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ
ระบบนวัตกรรมที่เปราะบาง: รัฐลงทุนน้อย เอกชนขาดแรงหนุน
ในมิติของระบบนวัตกรรม ดร.เสาวรัจ ได้วิเคราะห์ให้เห็นถึง “รูรั่ว” ของระบบนิเวศนวัตกรรมไทย โดยภาพรวมประเทศไทยมีการลงทุนวิจัยเพียงร้อยละ 1.2 ของ GDP ซึ่งยังห่างไกลจากประเทศคู่แข่งในเอเชียอย่างสิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือจีน
จุดที่น่ากังวลที่สุดคือ บทบาทของภาครัฐ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ภาครัฐจะมีบทบาทนำในการลงทุนวิจัยเพื่อลดความเสี่ยงและสร้างฐานให้เอกชน แต่รัฐบาลไทยกลับมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยเพียงร้อยละ 21 ของยอดรวมการวิจัยทั้งหมด ส่งผลให้เอกชน โดยเฉพาะ SMEs ที่ขาดทั้งเงินทุนและบุคลากร ต้องแบกรับความเสี่ยงเอง

ดร.เสาวรัจ ยังชี้ถึงอุปสรรคจากมาตรการสนับสนุนที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น
มาตรการลดหย่อนภาษีวิจัย 200%: มีประโยชน์สำหรับบริษัทใหญ่ที่มีกำไร แต่ SMEs ที่ยังไม่มีกำไรไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้
ทุนสนับสนุนวิจัย: ส่วนใหญ่เป็นงบระยะสั้นปีต่อปี วงเงินจำกัด เช่น ทุน NIA ที่ให้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการสร้างนวัตกรรมที่ต้องใช้เวลา
มาตรการ BOI: ล่าสุดมีการให้ทุนสูงถึง 100 ล้านบาท แต่กำหนดเงื่อนไขการลงทุนขั้นต่ำที่สูงเกินไป (50 ล้านบาทสำหรับทั่วไป หรือ 20 ล้านบาทสำหรับ SME One ID) ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าไม่ถึง
นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงการขาดความใส่ใจจากผู้นำระดับสูง ผ่านสถิติการเข้าร่วมประชุม “สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการประชุม 18 ครั้ง แต่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมเพียง 3 ครั้ง บ่งบอกว่าวาระด้านนวัตกรรมยังไม่ได้ถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง
พลังของ Triple Helix: ทางรอดไม่ใช่ทางเลือก
ทางออกของปัญหานี้อยู่ที่การสร้างโมเดล Triple Helix หรือสามประสานพลังระหว่าง ภาคเอกชน ภาครัฐ และภาควิชาการ ให้เกิดขึ้นจริง ดร.เสาวรัจ ยกตัวอย่างความสำเร็จของต่างประเทศที่ชัดเจน
สิงคโปร์สร้างอุตสาหกรรมชีวการแพทย์จนมีมูลค่าร้อยละ 2.6 ของ GDP และจ้างงานกว่า 26,000 คน โดยมีสถาบัน A*STAR เป็นแกนกลางเชื่อมโยงวิจัยสู่ตลาด
ไต้หวันสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จนเป็นผู้นำโลก โดย TSMC บริษัทเดียวสร้างมูลค่าเพิ่มถึงร้อยละ 4.5 ของ GDP ซึ่งเกิดจากการทำงานร่วมกับสถาบันวิจัย ITRI อย่างยาวนานกว่า 30-40 ปี
สำหรับประเทศไทย เริ่มเห็นแสงสว่างจากความสำเร็จในรูปแบบนี้บ้างแล้ว เช่น กรณี Perceptra สตาร์ตอัปไทยที่ใช้ AI อ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอก ซึ่งเกิดจากการร่วมมือของภาคเอกชน (Perceptra/BDMS) ภาควิชาการ (ศิริราช/มจธ. ร่วมทำวิจัย) และภาครัฐ (สปสช. เปิดตลาดโรงพยาบาลรัฐกว่า 100 แห่ง) หรือความสำเร็จในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่ไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่อันดับ 2 ของโลก
ข้อเสนอผ่าตัดโครงสร้าง: สร้าง “ตัวกลาง” และ “กลไกใหม่”
เพื่อให้โมเดล Triple Helix เป็นระบบที่ยั่งยืน ทีมนักวิจัย TDRI ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างที่สำคัญ ดังนี้
1. ชุบชีวิต “หน่วยงานเฉพาะทางอุตสาหกรรม” (Sector-Specific Institutes) คุณณัฐสิฏเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมี “คนกลาง” มาเชื่อมประสานเพื่อลดต้นทุนธุรกรรมและแก้ปัญหาแรงจูงใจที่ไม่ตรงกันระหว่างนักวิชาการและนักธุรกิจ
กรณีศึกษา PCB (แผ่นวงจรพิมพ์) อุตสาหกรรมนี้กำลังมาแรง มีเงินลงทุนไหลเข้ากว่า 2 แสนล้านบาท เกิดภาวะขาดแคลนคน แต่หน่วยงานสนับสนุนอย่าง TECC (Thailand Electronic Circuit Center) กลับได้รับงบอุดหนุนเพียง 150 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.075 ของเงินลงทุน) และมีอายุโครงการสั้นเพียง 18 เดือน ข้อเสนอคือต้องปรับ TECC ให้เป็นองค์กรอิสระหรือมูลนิธิ ที่มีความคล่องตัวและได้รับงบประมาณระยะยาว
กรณีศึกษา Wellness ไทยมีศักยภาพสูงแต่ขาดมาตรฐาน จึงเสนอให้ตั้ง Wellness Institute โดยดึงสมาคมวิชาชีพและผู้ประกอบการมาร่วมกำหนดมาตรฐานและรับรองคุณภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดโลก
2. ปฏิรูประบบงบประมาณสู่ Competitive Grant ต้องเลิกการจัดสรรงบประมาณแบบ “เบี้ยหัวแตก” ที่ให้ทีละน้อยและจบเป็นปี ๆ เปลี่ยนเป็นระบบ Competitive Grant หรือทุนแข่งขันที่ให้หน่วยงานยื่นแผนงานระยะยาว 5 ปีขึ้นไป โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องมีภาคเอกชนร่วมลงขัน (Matching Fund) เพื่อพิสูจน์ว่าโครงการนั้นเป็นที่ต้องการของตลาดจริง
3. แพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ดร.เสาวรัจ ทิ้งท้ายด้วยข้อเสนอให้สร้างแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand เพื่อเป็นพื้นที่กลางให้ภาครัฐ เอกชน และวิชาการ มาร่วมกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่วัดผลได้ร่วมกัน ปรับแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางเดียวกัน
สู่การเติบโตที่มีคุณภาพ
การสร้าง Good Jobs ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการวางรากฐานที่มั่นคง การเชื่อมโยง “ทักษะ” และ “นวัตกรรม” ผ่านกลไก Triple Helix ที่เข้มแข็ง จะเป็นกุญแจสำคัญที่ปลดล็อกประเทศไทยจากกับดักรายได้ปานกลาง สู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ และคนไทยมีงานทำที่ดีและมั่นคงในที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ทรู – จุฬาฯ – MIT และเอกชน เปิดหลักสูตร ‘Chula LGO’ ปั้นผู้นำวิศวะ x บริหาร
ชี้ชะตา 2026: ‘ร่างพ.ร.บ. สตาร์ตอัป’ เดิมพันสุดท้ายกู้ชีพวิกฤติทุนไหลออก




