Share on
×

Share

AWS re:Invent 2025: พลิกโฉม Cloud สู่ยุค ‘Agentic AI’

AWS re:Invent 2025: พลิกโฉม Cloud สู่ยุค ‘Agentic AI’

งาน AWS re:Invent 2025 ที่เพิ่งปิดฉากลงเมื่อวานนี้หลังจากจัดต่อเนื่องมาตลอด 4 วัน ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแสดงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคลาวด์ประจำปีเหมือนเช่นเคย แต่ภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เมื่อ Amazon Web Services (AWS) ประกาศทิศทางใหม่ที่ขยับจากการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและการประมวลผลข้อมูลแบบดั้งเดิม ไปสู่ยุคของ “Agentic AI” หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิดและปฏิบัติการแทนมนุษย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ

ตลอดระยะเวลาการจัดงาน สาระสำคัญที่ถูกถ่ายทอดผ่านผู้บริหารระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังถูกยกระดับจากเครื่องมือที่ช่วยทำงานซ้ำซ้อนให้รวดเร็วขึ้น มาเป็นระบบ “ตัวแทน” (Agent) ที่มีความสามารถในการแปลงปัญหาทางธุรกิจให้กลายเป็นโซลูชันทางออกได้เอง การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับแนวคิดการรื้อและสร้างรากฐานเทคโนโลยีใหม่ (Reinventing foundational building blocks) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่นวัตกรรมชิปประมวลผลไปจนถึงประสบการณ์การใช้งาน เพื่อรองรับอนาคตที่มนุษย์และ AI จะทำงานร่วมกันในมิติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ปฏิรูปรากฐานคลาวด์สู่ประสบการณ์ใหม่

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Matt Garman ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AWS การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เริ่มต้นที่การปฏิรูปรากฐานของระบบคลาวด์ หรือที่เรียกว่า “Foundational Building Blocks” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเทคโนโลยี

สาระสำคัญที่ Matt Garman เน้นย้ำไม่ได้อยู่ที่การบำรุงรักษาหรือการต่อเติมเทคโนโลยีเดิมให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่คือการ “สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ในทุกแง่มุม” ของระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใหม่ (Brand new experiences) ที่ไม่เคยมีมาก่อน การปรับเปลี่ยนนี้มีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์เพื่อ “มอบอำนาจ” (Empower) ให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ให้มีเครื่องมือที่ทรงพลังและพร้อมสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่า โดยโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่นี้ จะทำหน้าที่เป็นรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับการพัฒนานวัตกรรมในยุคต่อไป

ยุคแห่ง Agentic AI: เมื่อปัญญาประดิษฐ์คิดและแก้ปัญหาแทนมนุษย์

หัวใจสำคัญของงานในปีนี้คือการประกาศเข้าสู่ยุคของ “Agentic AI” อย่างเป็นทางการ ผ่านมุมมองของ Dr. Swami Sivasubramanian ผู้บริหารด้าน Agentic AI พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน Applied AI และ Automated Reasoning

Dr. Swami ได้ขยายความให้เห็นภาพชัดเจนว่า เทคโนโลยีนี้ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของการเป็นเพียงเครื่องมือทุ่นแรงที่ช่วยให้ทำงานกิจวัตรได้เร็วขึ้น (Doing routine things faster) ไปสู่การเป็นระบบอัจฉริยะที่มีความลึกซึ้งกว่าเดิม ระบบ Agentic AI ถูกออกแบบมาให้สามารถทำความเข้าใจบริบทและ “แปลงปัญหาให้กลายเป็นทางออก” ได้อย่างเป็นระบบ

นั่นหมายความว่า บทบาทของ AI จะเปลี่ยนจากการเป็นผู้รอคำสั่ง (Passive) มาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์และลงมือกระทำการ (Active) เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนแทนมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการ “ปลดล็อกขีดความสามารถใหม่” (Unlocking capabilities) ที่ช่วยให้มนุษย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น ในระดับที่จินตนาการเดิมไปไม่ถึง

นวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐาน: ประสิทธิภาพสูงสุดที่ไร้ข้อแลกเปลี่ยน

เพื่อรองรับความสามารถของ Agentic AI ที่ซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรประมวลผลมหาศาล โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีจึงต้องมีความพร้อมสูงสุด Peter DeSantis และ Dave Brown ผู้บริหารด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้นำเสนอทิศทางการพัฒนาที่มุ่งเน้น 5 ปัจจัยหลักที่ทวีความสำคัญในโลกยุค AI ได้แก่ ความปลอดภัย (Security), ความยืดหยุ่น (Elasticity), ความพร้อมใช้งาน (Availability), ต้นทุน (Cost), และความคล่องตัว (Agility)

ทาง AWS ได้เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์อย่าง “AWS Nitro System” และ “ชิป AI เจเนอเรชันใหม่” ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดทางเทคนิคดั้งเดิม เป้าหมายสำคัญคือการทำให้ลูกค้าองค์กรสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมได้โดย ไม่ต้องเผชิญกับภาวะต้องเลือก (Build without making tradeoffs) อีกต่อไป กล่าวคือ ธุรกิจสามารถเข้าถึงระบบที่มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงที่สุดสำหรับการทำ AI โดยที่ยังสามารถรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดและควบคุมต้นทุนให้เหมาะสมได้ในเวลาเดียวกัน

พลังเครือข่ายพันธมิตร: กุญแจสู่การใช้งานจริงในภาคธุรกิจ

ในขณะที่เทคโนโลยีมีความพร้อม การนำไปประยุกต์ใช้ในโลกธุรกิจจริง (Production) ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับหลายองค์กร Dr. Ruba Borno ผู้บริหารด้าน Global Specialists and Partners ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของพันธมิตรทางธุรกิจในหัวข้อ “The Partnership Advantage”

Dr. Ruba ชี้ให้เห็นว่า ลำพังการมีระบบคลาวด์ที่ปลอดภัยที่สุดร่วมกับชุดเครื่องมือที่ครอบคลุม (Broadest toolkit) นั้นยังไม่เพียงพอ หากขาดเครือข่ายพันธมิตร (AWS Partner Network) ที่แข็งแกร่งและเชี่ยวชาญ การทำงานร่วมกับพันธมิตรจะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ค้นพบความมหัศจรรย์ของ AI Agents และสามารถขับเคลื่อนโครงการ AI จากขั้นทดลองไปสู่การใช้งานจริงเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ รวดเร็ว และประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

บทบาทนักพัฒนาในยุค AI: ผสานวิจารณญาณมนุษย์สู่นวัตกรรม

บทสรุปของงานสะท้อนผ่านมุมมองของ Dr. Werner Vogels ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) บุคคลสำคัญที่เป็นดั่งไอคอนของงาน re:Invent ที่ออกมาย้ำเตือนว่า ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยี “นักพัฒนา” (Developers) ยังคงเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรม

ในยุคแห่งการประดิษฐ์ที่เร่งรีบ (Age of accelerated invention) นี้ ทักษะที่สำคัญที่สุดที่นักพัฒนาต้องมีเพื่อทำงานร่วมกับ AI กลับไม่ใช่เรื่องของการเขียนโค้ดทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่คือ “ความอยากรู้อยากเห็น” (Curiosity), “วิจารณญาณ” (Judgment), และ “ความรู้สึกของการเป็นชุมชน” (Sense of community)

Dr. Vogels อธิบายว่า การนำทักษะเฉพาะตัวและความเชี่ยวชาญของมนุษย์ มาผสมผสานกับการพัฒนา AI คือกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex problems) เพราะแม้ AI จะเก่งกาจเพียงใด แต่การมีวิจารณญาณที่ดีในการเลือกใช้ การตัดสินใจ และการกำกับดูแลเทคโนโลยี ยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของโลกอนาคตให้กว้างไกลกว่าเดิม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ยกระดับ ‘อุตสาหกรรมอาหารไทย’ สู่ ‘ขุมทรัพย์ล้านล้าน’

‘ดร.เอกนิติ’ 4 เดือน: ทางด่วน BOI – กองทุนลดหนี้ – ปฏิวัติคนด้วย AI

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน