ใกล้สิ้นปีความหวังของคนทำงาน ต้องคอยลุ้นระทึกวัดใจนายจ้างว่าจะปรับเงินเดือนหรือไม่ โบนัสจะได้เท่าไหร่ แต่สำหรับพนักงานของบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรี (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี 1,500 ต้องลุ้นว่า จะมีโอกาสกลับมาทำงานหรือไม่หลังจากนายจ้างประกาศ ”ปิดงาน งดจ้าง” (Lockout) มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม นี้
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมาจากความขัดแย้งใน 2 ประเด็นหลัก 1) กรณีสวัสดิการ”ทอง”ของแรงงานที่ควรจะได้กลับไม่ได้ตามข้อตกลง เดิมทีบริษัทบอกว่า ใครขยันและทำงานครบ 10 ปี รับทอง 3 บาทบวกเงินอีก 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรทำกันมานานกว่า 30 ปี พนักงานจำนวนหนึ่งจึงทุ่มเทไม่ขาดไม่ลาป่วย ไม่ลากิจ มาเป็นเวลา 10 ปี แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาทองในตลาดโลกขยับสูงทะลุเพดานงบประมาณที่บริษัทตั้งไว้ จึงเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นการให้เงิน 4 หมื่นบาท แทนทอง 3บาท
ที่สำคัญ ไม่ใช่เป็นการตกลงแบบปากเปล่า แต่เป็นข้อตกลงที่นายจ้างประกาศไว้ใน ”คู่มือพนักงาน” เมื่อออกมาอย่างนี้ฝ่ายแรงงานก็มองว่านายจ้าง ”ไม่ปฏิบัติตามคู่มือพนักงาน” ประเด็นนี้จึงไม่ใช่ข้อเรียกร้องแต่เป็นข้อตกลงที่ฝ่ายนายจ้างเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง ถือว่านายจ้างผิดสัญญาอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ในการหาทางออกก็ควรจะเจรจากันตั้งแต่แรกผ่อนหนักเป็นเบา เช่นจ่ายเป็นเงิน 70-80% ของมูลค่าทองทั้งหมดแทน ไม่ใช่มากำหนดฝ่ายเดียวเป็นเงินสดแค่ 4 หมื่นบาท เพราะนี่เป็นสิทธิ์ที่แรงงานต้องได้
ประเด็นต่อมา เรื่องโบนัสพนักงานที่บริษัทได้ปรับลดลงจากปีที่แล้วแบบไม่สอดคล้องกับผลประกอบการ บริษัทมีกำไรหลายพันล้านโดยในปี 2568 มีรายได้ 51,225 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,906 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่า 6% แต่ข้อเสนอโบนัสลดลงจากเดิม 7 เดือนมาเป็น 5 เดือนบวกเงินพิเศษ 12,000 บาท สมมติว่ากำไรสุทธิอาจจะลดลงเล็กน้อยต้องไปดูกำไรต่อหน่วย หรือ Net Margin ซึ่งเท่าที่ทราบ Net Margin ก็ไม่ได้ลดลงและกลับสูงกว่าเดิม ฉะนั้นถ้าโบนัสไม่เพิ่มก็ไม่ควรลดลงจากเดิม
เรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน 10 รอบยังตกลงกันไม่ได้ แต่ที่ทำให้ฝ่ายแรงงานต้องช็อค เมื่อผู้บริหารไดกิ้นเล่นเกมแรงประกาศ ”ปิดงาน งดจ้าง” ถือเป็นอาวุธหนัก การปิดการจ้างงาน เป็นการปิดกั้นไม่ให้พนักงานเข้าทำงานอันเนื่องมาจากข้อพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ในระหว่างการปิดงานบริษัทจะไม่จ่ายเงินเดือน สวัสดิการใด ๆ ทั้งสิ้นและไม่ให้เข้ามาทำงานจนกว่าพนักงานจะยอมตามข้อเรียกร้องของนายจ้าง พนักงานเหล่านี้กลายเป็น ”คนว่างชั่วคราว” ทันที
วิธีการนี้ถือว่าแรงกว่าการเลิกจ้างเพราะไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย เป็นเกมจิตวิทยา ต้องบีบให้สหภาพแรงงานฯเสียงแตกขาดความเป็นเอกภาพ เพราะบางคนอาจมีปัญหาเรื่องการเงิน มีภาระครอบครัว หลังจากถูกนายจ้าง ”ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ไม่จ่ายเงินเดือน ทำให้ไม่มีรายได้ จนอาจยอมหันหน้ามาเจรจายอมตามข้อเสนอ เมื่อสหภาพฯอ่อนแรง ยิ่งนายจ้างมีทุนมีสายป่านยาว ช่วงนี้ยอมลดกำลังการผลิตลงความได้เปรียบก็อยู่ที่ฝ่ายนายจ้างแต่ก็ไม่ง่าย ฝ่ายสหภาพแรงงานฯก็มีลูกจ้างมีกำลังแรงงานหากยังเป็นเอกภาพก็มีอำนาจต้อรองก็สูงอยู่ที่ใครจะอึดกว่าใคร
มองอีกด้าน จังหวะเวลาที่นายจ้างเล่นเกมนี้ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูการขายแอร์เพราะตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศอยู่ในช่วงฤดูหนาวการส่งออกปกติก็ลดลงจนต้องลดกำลังการผลิตลงทำให้ใช้แรงงานน้อยลง หรืออาจจะสต็อกสินค้าตุนไว้เพียงพอการส่งออกอยู่แล้ว
หากมองเกมนี้ ฝ่ายนายจ้างอาจจะประเมินสถานการณ์แล้วว่าได้เปรียบ ก็ต้องวัดใจว่า สหภาพแรงงานฯจะเข้มแข็งและมีความเป็นเอกภาพแค่ไหน อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่ที่แรงงานต้องใช้เงินค่อนข้างมาก เพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัด ถ้าลูกจ้างไม่มีใครแตกแถวยังเป็นเอกภาพก็อาจจะพลิกเกมมาได้ ตอนนี้มีข่าวว่า ทางผู้บริหารแก้เกมด้วยการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่เข้ามาทดแทนแล้ว
หากจะมองในมุมของผู้บริหาร วัตถุประสงค์ต้องการ ”คุมต้นทุน” ไม่ให้สูงเกินไป และเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ในมุมของพนักงานก็ต้องการความมั่นคงในชีวิตประกอบกับที่ผ่านมาค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นแต่ค่าแรงขั้นต่ำไม่ขยับมาหลายปี เงินที่เขาควรจะได้เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่ได้ตามที่คาดหวังจึงมีความรู้สึกว่า ถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมและในการประท้วงของลูกจ้างไม่ได้ทำผิดกฏหมายแรงงานเพราะประท้วงช่วงเวลาพักแล้วกลับไปทำงานตามปกติ หากมองในมุมนี้ก็ต้องเห็นใจพนักงาน
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายควรจะหันหน้ามาเจรจากันหากนายจ้างยังเล่นเกมแรงแม้ได้ชัยชนะ แต่ภาพลักษณ์ของบริษัทที่สั่งสมมานาน อาจจะถูกมองในแง่ลบว่าเอาเปรียบแรงงานและทำให้พนักงานขาดความเชื่อมั่นบริษัทได้ ฝ่ายแรงงานแม้งานนี้จะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมหากยังไม่ยอมยืดหยุ่นบ้าง เพื่อให้เรื่องนี้ยุติโดยเร็วปล่อยให้เกมยาวอาจจะเสียเปรียบโดยที่ไม่ได้อะไร และอาจจะถูกสังคมภายนอกมองว่าแข็งข้อ จะทำให้เสียแนวร่วมได้
รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานจะต้องเข้ามาแก้ปัญหาให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายโดยเร็วที่สุดเพราะปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะจะกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบของโรงงานอื่นได้จะเสียหายทั้งอุตสาหกรรมยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อจะเสียหายต่อบรรยากาศการลงทุน นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนอาจลังเลเพราะเกรงจะมีปัญหาแรงงาน
เหนือสิ่งใดรัฐบาลต้องเร่งพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นเพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพการที่นายจ้างเล่นเกมนี้เพราะเห็นว่าแรงงานใหม่เข้ามาทดแทนได้ แต่ถ้าแรงงานมีทักษะสูง เป็นการสร้างอำนาจต่อรองโดยที่ไม่ต้องมีการประท้วงให้เกิดความเสียหายกับทุกฝ่าย
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
3 ทศวรรษที่สูญเปล่า: ผ่า 6 วงจรอุบาทก์ฉุดเศรษฐกิจไทยติดหล่มซ้ำซาก
‘สงครามสแกมเมอร์’ ส่อแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
เศรษฐกิจไทย ในอุ้งมือ ‘ขบวนการสแกมเมอร์’




