ในขณะที่ยุทธศาสตร์ขององค์กรธุรกิจส่วนใหญ่มุ่งเน้นการช่วงชิงความได้เปรียบจากปัญญาประดิษฐ์ (Scaling AI) กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ในฐานะผู้นำกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินระดับภูมิภาค ได้เลือกที่จะมองข้ามช็อตไปสู่คลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังยิ่งกว่า นั่นคือ ‘เทคโนโลยีควอนตัม’ (Quantum Technology)
ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ Head of R&D ของ SCBX ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อ ‘From AI First to Quantum Ready’ โดยชี้ให้เห็นว่า ควอนตัมคอมพิวติ้งมิใช่เพียงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองอีกต่อไป แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีแผนพัฒนาที่จับต้องได้ ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ความปลอดภัยและเศรษฐกิจการเงินโลกในอนาคตอันใกล้
นับถอยหลังสู่วิกฤติ: เมื่อเกราะป้องกันดิจิทัลกำลังหมดอายุ
หัวใจสำคัญของการเตรียมความพร้อมสู่ยุคควอนตัมนั้น มิใช่เพียงการตื่นตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ แต่คือการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเทคโนโลยีนี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์พื้นฐานด้านความปลอดภัยของโลกดิจิทัลอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เคยถูกนิยามว่ามีความปลอดภัยสูงสุดในวันนี้ กำลังเผชิญกับนับถอยหลังสู่วันหมดอายุทางเทคโนโลยี ดร.ทุตานนท์ จำแนกมิติของภัยคุกคามทางคณิตศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสามารถอธิบายรายละเอียดเชิงลึกได้ดังต่อไปนี้
ประเด็นแรกที่นับเป็นภัยคุกคามเงียบและได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน คือยุทธวิธีการโจมตีทางไซเบอร์ที่เรียกว่าการเก็บเกี่ยวข้อมูลในวันนี้เพื่อรอการถอดรหัสในวันหน้า หรือ Harvest Now, Decrypt Later ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ถือครองข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง
ผู้ไม่ประสงค์ดีหรือกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ต่างตระหนักดีว่า แม้พวกเขาจะสามารถเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลที่ผ่านการเข้ารหัสออกไปได้ในขณะนี้ แต่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะถอดรหัสเหล่านั้นออกมาเป็นข้อมูลที่อ่านเข้าใจได้ กระนั้นก็ตาม กลุ่มผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ยังคงเดินหน้าโจรกรรมและจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรอคอยช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมได้รับการพัฒนาจนมีศักยภาพสมบูรณ์เพียงพอที่จะถอดรหัสข้อมูลเหล่านั้นในอนาคต
สถานการณ์เช่นนี้ สร้างความเสี่ยงระดับวิกฤติต่อข้อมูลที่จำเป็นต้องรักษาความลับเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลความลับทางราชการ หรือข้อมูลธุรกรรมทางการเงินระดับสูง ซึ่งหากองค์กรเพิกเฉยและรอให้ถึงวันที่เทคโนโลยีพร้อม ข้อมูลสำคัญเหล่านั้นอาจตกอยู่ในสถานะถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์ทันทีที่เครื่องมือในการถอดรหัสถูกสร้างสำเร็จ
เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบทางเทคนิคที่จะเกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจะพบกับการสั่นคลอนของรากฐานความปลอดภัยในสองระดับสำคัญ ระดับแรกคือผลกระทบต่อระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจสมมาตรหรือ Symmetric Encryption ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายในการจัดเก็บและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล เช่น มาตรฐาน AES โดยภัยคุกคามในส่วนนี้เกิดจากความสามารถของ Grover’s Algorithm ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบก้าวกระโดด หรือที่เรียกว่า Quadratic Acceleration ส่งผลให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลและการสุ่มเดารหัสทำได้รวดเร็วขึ้นอย่างมหาศาล
–SCBX เผย 4 เทรนด์ AI ชี้ทางรอดธุรกิจคือ ‘การประยุกต์ใช้ ไม่ใช่สร้างใหม่’
จากเดิมที่กระบวนการค้นหาอาจต้องใช้ขั้นตอนการประมวลผลมหาศาลถึง 2 ยกกำลัง 128 รอบ เทคโนโลยีควอนตัมจะสามารถลดขั้นตอนดังกล่าวลงเหลือเพียงรากที่สองของจำนวนเดิม หรือประมาณ 2 ยกกำลัง 64 รอบเท่านั้น แม้ตัวเลขความยากจะลดลงอย่างมาก แต่ในทางปฏิบัติ องค์กรยังพอสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงนี้ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนไปใช้กุญแจเข้ารหัสที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อชดเชยความเร็วที่เพิ่มขึ้นของคอมพิวเตอร์ควอนตัม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นับเป็นภัยคุกคามระดับวิกฤติอย่างแท้จริง คือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบการเข้ารหัสแบบกุญแจอสมมาตรหรือ Asymmetric Encryption เช่น มาตรฐาน RSA และ ECC ซึ่งเปรียบเสมือนแม่กุญแจหลักที่ดูแลความปลอดภัยของระบบธนาคารและการยืนยันตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
ความน่ากลัวเกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมทำงานร่วมกับ Shor’s Algorithm ซึ่งมีความสามารถในการเปลี่ยนโครงสร้างความยากของการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จากเดิมที่เป็นความยากระดับทวีคูณ หรือ Exponential Complexity ที่คอมพิวเตอร์ดั้งเดิมต้องใช้เวลานับล้านปีในการคำนวณหาคำตอบ ให้ลดทอนลงเหลือเพียงความยากระดับพหุนาม หรือ Polynomial Complexity การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างคณิตศาสตร์นี้หมายความว่า รหัสผ่านที่เคยเชื่อมั่นว่าไม่มีวันถูกเจาะได้ จะสามารถถูกทำลายลงในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้ระบบความปลอดภัยที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลโลกเสี่ยงต่อการพังทลายลงหากไม่มีการเตรียมการรับมือที่ถูกต้อง
ความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นเมื่อพิจารณาจากเส้นเวลาการพัฒนาเทคโนโลยี หรือ Roadmap ของผู้พัฒนาชั้นนำระดับโลก สัญญาณเตือนจากบริษัท IonQ บ่งชี้เป้าหมายที่ดุดัน โดยคาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. 2028 บริษัทจะสามารถพัฒนาคิวบิตเชิงตรรกะได้ถึงระดับ 1,600 ตัว ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เทคโนโลยีจะมีศักยภาพเพียงพอในการเจาะรหัสมาตรฐาน RSA-2048 ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เร็วกว่าแผนการเปลี่ยนผ่านของหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานสากลอย่าง NIST ถึง 7 ปี
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอทีอย่าง IBM ก็ได้วางแผนที่จะบรรลุศักยภาพในการทำลายระบบเข้ารหัสภายในปี ค.ศ. 2033 สอดคล้องกับมาตรการของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIST ที่ได้กำหนดเส้นตายให้เริ่มกระบวนการยกเลิกการใช้อัลกอริทึมเข้ารหัสแบบดั้งเดิมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2024 และประกาศเจตจำนงที่จะไม่อนุญาตให้ใช้งานระบบดังกล่าวโดยเด็ดขาดหลังปี ค.ศ. 2035 เป็นต้นไป ข้อมูลทั้งหมดนี้คือเครื่องยืนยันว่า เส้นตายแห่งความปลอดภัยมิใช่เรื่องไกลตัว แต่กำลังกระชั้นเข้ามาด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้
ถอดรหัสการตัดสินใจ: สมการความเสี่ยงและเส้นตายที่มองไม่เห็น
ภายใต้บริบทของความไม่แน่นอนทางเทคโนโลยี การบริหารจัดการความเสี่ยงระดับองค์กรจำเป็นต้องมีเครื่องมือทางความคิดที่สามารถเปลี่ยนความกังวลที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นตรรกะที่จับต้องได้ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่าองค์กรควรเริ่มขยับตัวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามควอนตัมเมื่อใด
ดร.ทุตานนท์ นำเสนอกรอบแนวคิดเชิงคณิตศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งคิดค้นโดยศาสตราจารย์ Michele Mosca (มิเชล มอสกา) หรือที่รู้จักกันในนามสมการความไม่เท่ากันของมอสกา (Mosca’s Inequality) เพื่อใช้เป็นมาตรวัดเส้นตายที่มองไม่เห็น โดยสมการดังกล่าวทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงผ่านความสัมพันธ์ของตัวแปรแห่งเวลาสามมิติที่มีความยึดโยงกันอย่างลึกซึ้ง
–SCBX เผยสูตรสร้าง ‘ป้อมปราการธุรกิจ’ ด้วย AI พลิกเกมจาก Hype สู่รายได้จริง
องค์ประกอบแรกของสมการเริ่มต้นจากการพิจารณาระยะเวลาที่ข้อมูลจำเป็นต้องคงสภาพเป็นความลับ หรือตัวแปร X (Confidentiality Horizon) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ข้อมูลชุดหนึ่ง ๆ จะต้องถูกปกป้องไม่ให้รั่วไหลเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลความลับทางการค้า หรือข้อมูลธุรกรรมทางการเงินระดับสูง ซึ่งบางกรณีอาจกินเวลานานนับทศวรรษหรือตลอดอายุของผู้เป็นเจ้าของข้อมูล
องค์ประกอบถัดมาคือระยะเวลาที่องค์กรต้องใช้ในการเปลี่ยนผ่านระบบความปลอดภัย หรือตัวแปร Y (Migration Time) ซึ่งในทางปฏิบัติสำหรับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของสถาบันการเงิน การเปลี่ยนถ่ายจากระบบการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม (Post-Quantum Cryptography) เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนสูงและต้องใช้เวลายาวนานหลายปีในการวางแผน ทดสอบ และติดตั้งระบบให้ครอบคลุมและเสถียร
เมื่อนำระยะเวลาทั้งสองส่วนมารวมกัน องค์กรจะได้ภาพของกรอบเวลาที่จำเป็นทั้งหมดในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ตัวแปรที่สำคัญที่สุดซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมคือระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่ภัยคุกคามจะมาถึง หรือตัวแปร Z (Collapse Time) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลานับถอยหลังสู่วันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะมีศักยภาพเพียงพอในการทำลายระบบเข้ารหัสปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์
หลักการของสมการนี้ชี้ให้เห็นว่า หากผลรวมของระยะเวลาที่ต้องรักษาความลับบวกกับระยะเวลาที่ต้องใช้ในการอัปเกรดระบบ มีค่ามากกว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่เทคโนโลยีควอนตัมจะพัฒนาสำเร็จ หรือกล่าวในเชิงสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ว่า X บวก Y มากกว่า Z ย่อมหมายความว่าองค์กรได้ก้าวเข้าสู่สถานะวิกฤติทางความปลอดภัยแล้ว
นัยสำคัญของผลลัพธ์ที่ระบุว่า X บวก Y มากกว่า Z นั้น บ่งชี้ถึงสภาวะที่เรียกว่าความล่มสลายของความปลอดภัยล่วงหน้า หากองค์กรพบว่าตนเองตกอยู่ในเงื่อนไขนี้ แม้ในปัจจุบันการโจมตียังไม่เกิดขึ้น แต่ในทางทฤษฎีความปลอดภัยถือว่าองค์กรได้พ่ายแพ้ต่อภัยคุกคามแล้วตั้งแต่วันนี้ เพราะเกราะป้องกันจะไม่สามารถถูกสร้างขึ้นได้ทันเวลาก่อนที่ข้อมูลความลับจะหมดอายุความสำคัญ สถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่ข้อมูลซึ่งถูกบันทึกในวันนี้จะไม่ปลอดภัยไปจนถึงปลายทาง

ดังนั้น กรอบคิดของมอสกาจึงเป็นเครื่องเตือนใจสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การเพิกเฉยหรือการรอให้เทคโนโลยีมีความสมบูรณ์ก่อนจึงจะเริ่มดำเนินการ ไม่ใช่เพียงแค่การรอเวลา แต่เป็นการสร้างต้นทุนความเสียหายมหาศาลที่ไม่อาจแก้ไขได้ในภายหลัง การบริหารจัดการเส้นเวลาหรือ Timeline จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่ผู้บริหารต้องเริ่มดำเนินการประเมินและตัดสินใจทันที เพื่อให้ผลรวมของเวลาในการเตรียมพร้อมยังคงน้อยกว่าเวลาที่ภัยคุกคามจะมาถึง
พลิกวิกฤติสู่โอกาส: ขุมทรัพย์ล้านล้านดอลลาร์ในยุคควอนตัม
แม้ว่าเทคโนโลยีควอนตัมจะถูกกล่าวถึงในบริบทของความน่ากลัวด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่หากพิจารณาเหรียญอีกด้านหนึ่งจะพบว่าเทคโนโลยีเดียวกันนี้เปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล ซึ่งจะเข้ามาปฏิวัติขีดความสามารถในการทำกำไรและประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง
ดร.ทุตานนท์ กล่าวว่า คาดการณ์ทางเศรษฐกิจชี้ว่า ภายในปี ค.ศ. 2035 เทคโนโลยีควอนตัมจะมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมให้กับโลกได้สูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 70 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าควอนตัมคอมพิวติ้งมิใช่เพียงเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีนัยสำคัญยิ่ง
เมื่อเจาะลึกลงไปในรายสาขาอุตสาหกรรมจะพบว่า ภาคบริการทางการเงิน (Financial Services) คือกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุดและสามารถช่วงชิงมูลค่าจากเทคโนโลยีนี้ได้มากที่สุด โดยมีการประเมินว่าอุตสาหกรรมการเงินมีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงถึงเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเจาะจงที่ตัวเลขประมาณ 6.22 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุที่ภาคการเงินกลายเป็นเป้าหมายหลักของการปฏิวัติครั้งนี้ เนื่องมาจากธรรมชาติของธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลข้อมูลที่มีความซับซ้อนและมหาศาล ซึ่งสอดคล้องกับจุดเด่นของคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่สามารถแก้ไขปัญหาที่คอมพิวเตอร์ดั้งเดิมไม่สามารถทำได้
โดยสามารถจำแนกรูปแบบการสร้างมูลค่าออกเป็นสามด้านหลักที่เกี่ยวเนื่องกัน
ด้านแรก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization) ซึ่งถือเป็นหัวใจของการบริหารจัดการเงินทุน คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถค้นหาจุดที่เหมาะสมที่สุดในการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีตัวแปรนับล้านรูปแบบ เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดได้อย่างแม่นยำ
ด้านที่สอง คือ การจำลองสถานการณ์(Simulation) ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการจำลองโมเดลทางการเงินและการประเมินความเสี่ยงที่ซับซ้อน ช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มตลาดเป็นไปอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และด้านสุดท้ายคือการค้นหาข้อมูล (Search Tasks) ที่จะช่วยเร่งความเร็วในการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากฐานข้อมูลมหาศาลเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ความหอมหวานของมูลค่าทางเศรษฐกิจนี้ได้ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือดในระดับเวทีโลก รัฐบาลของประเทศมหาอำนาจต่างตระหนักดีว่าใครก็ตามที่สามารถครอบครองเทคโนโลยีนี้ได้ก่อนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต ส่งผลให้ปัจจุบันมีการประกาศเม็ดเงินลงทุนระดับชาติรวมกันทั่วโลกสูงถึงประมาณ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีประเทศจีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการลงทุนดังกล่าว ภาพรวมทั้งหมดนี้ยืนยันให้เห็นว่าเทคโนโลยีควอนตัมคือสมรภูมิทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกการเงินและการลงทุนไปตลอดกาล
ยุทธศาสตร์ยานแม่: ผนึกกำลังสี่เสาหลักขับเคลื่อนอนาคตการเงิน
เพื่อให้สอดรับกับบริบทใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเสี่ยง SCBX ได้วางโครงสร้างธุรกิจแบบ “ยานแม่” (Mothership Strategy) ที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
- กลุ่มธุรกิจธนาคาร (Banking Services) ทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางการเงิน (Cash Cow) รักษาเสถียรภาพและระดมทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ โดยเน้นการปรับองค์กรให้กระชับ (Lean) เพื่อความคล่องตัวสูงสุด
- กลุ่มธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Finance) ทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์เร่งการเติบโต (Growth Engine) ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ไปยังฐานราก โดยเตรียมความพร้อมด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างแม่นยำ
- กลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มและสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Platforms) มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มแบบทวีคูณ (Exponential Growth) ผ่านนวัตกรรมทางการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐาน Blockchain ที่ปลอดภัยเพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่
- กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (Tech & Data Infrastructure) เป็นแกนกลางสำคัญ (Enabler) ที่มุ่งสู่การเป็น AI-First Organization ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมด้านควอนตัม (Quantum Readiness) อย่างเป็นระบบ
เหนือกว่าเทคโนโลยีคือคน: ทางรอดเดียวท่ามกลางสงครามแย่งชิงบุคลากร
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงอันเชี่ยวกรากของคลื่นเทคโนโลยี ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่และยากลำบากที่สุดที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกต้องเผชิญนั้น มิใช่ข้อจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์หรือความซับซ้อนของซอฟต์แวร์ หากแต่เป็นวิกฤติความขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนนวัตกรรม
ข้อมูลสถิติเชิงลึกจากตลาดแรงงานในกลุ่มเทคโนโลยีการเงินได้สะท้อนให้เห็นความจริงที่น่ากังวล เมื่อสัดส่วนของผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและความพร้อมในการทำงานมีเพียงหนึ่งคน ต่อความต้องการจ้างงานในตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีควอนตัมที่สูงถึงสามตำแหน่ง ตัวเลขสัดส่วนดังกล่าวเป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนว่า กลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแบบดั้งเดิมที่เน้นเพียงการทุ่มงบประมาณเพื่อดึงตัวบุคลากรจากภายนอก ไม่สามารถเป็นทางออกที่ยั่งยืนสำหรับสถานการณ์นี้ได้อีกต่อไป
เมื่อเผชิญกับสภาวะที่อุปทานของแรงงานทักษะสูงมีไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ การพยายามแก้ปัญหาด้วยการจ้างงานเพียงอย่างเดียวจึงเปรียบเสมือนการแข่งขันในเกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์
ดร.ทุตานนท์ เสนอหลักคิดที่สำคัญยิ่งว่า ทางรอดเดียวขององค์กรคือการเปลี่ยนจากผู้ซื้อมาเป็นผู้สร้าง ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรขึ้นมาเอง แทนที่จะพยายามจ้างงานเพื่อแก้ปัญหา
แนวทางนี้จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาเพื่อบ่มเพาะวิศวกรและนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจทั้งในศาสตร์ของเทคโนโลยีควอนตัมและบริบททางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะของบุคลากรเดิมภายในองค์กรให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
กระบวนการสร้างคนนี้ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของการเตรียมความพร้อมที่ต้องดำเนินไปพร้อมกับองค์ประกอบเชิงยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ ได้แก่ การมีภาวะผู้นำที่มองการณ์ไกล การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น และการปฏิบัติตามมาตรฐานกฎระเบียบสากล แม้ว่าการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรในวันนี้ จะดูเหมือนเป็นภาระต้นทุนที่สูงและต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะเห็นผลสัมฤทธิ์ แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงในอนาคตแล้วจะพบว่าคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะต้นทุนของการเพิกเฉย (Cost of Inaction) นั้นอาจหมายถึงความล่มสลายของระบบรักษาความปลอดภัยและความเชื่อมั่นทั้งหมดที่องค์กรสั่งสมมา ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนเพื่อสร้างคนและวางรากฐานตั้งแต่วันนี้ จึงมิใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดสำหรับองค์กรที่ปรารถนาจะยืนหยัดอย่างมั่นคงในโลกยุคควอนตัม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCBX – QTFT เปิดรายงานพิเศษ ย้ำความสำคัญการเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม
Why Web Matter: ทิศทางคนทำเว็บ เมื่อ AI เปลี่ยนโลก



