ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ การเกษตรกรรมซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย กำลังถูกท้าทายให้ปรับตัวเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรที่ก่อให้เกิดหมอกควันและโลกร้อน นิว ฮอลแลนด์ แบรนด์เครื่องจักรกลการเกษตรในเครือบริษัทซีเอ็นเอช (CNH) ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการเกษตรแม่นยำ ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มผลผลิต แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนนโยบาย “ลดการเผา” ของภาครัฐ
ในการจัดงาน “New Holland Day” ครั้งแรกในประเทศไทย ในวาระครบรอบ 130 ปีของแบรนด์ ณ แปลงสาธิตภายในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ (NSCAT) เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ ได้เผยถึงโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเกษตรที่รับผิดชอบต่อโลก
เทคโนโลยีจัดการซากพืช
หนึ่งในเทคโนโลยีเด่นที่ช่วยลดการเผาเศษพืช คือ เครื่องอัดฟาง และ เครื่องตีตอซัง ซึ่งทำงานร่วมกับรถแทรกเตอร์ หลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรืออ้อย เกษตรกรมักเผาเศษใบอ้อยหรือตอซังเพื่อเคลียร์พื้นที่ แต่กระบวนการนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่น PM2.5 สู่ชั้นบรรยากาศ
นิรันดร์ ตั้งชูทองชัย ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ซีเอ็นเอช อธิบายว่า หลังจากตัดอ้อยหรือเก็บเกี่ยวข้าว จะมีฟางและใบอ้อยเหลือ เราก็ใช้เครื่องอัดใบอ้อยเพื่อลดการเผา จากนั้นใช้เครื่องตีตอซังเพื่อทำให้ตอกลายเป็นปุ๋ยให้กับดิน ซึ่งช่วยลดการเผาได้
เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงลดมลพิษ แต่ยังฟื้นฟูดินโดยเปลี่ยนเศษเหลือใช้ให้เป็นสารอาหารธรรมชาติ
คุณนิรันดร์กล่าวเพิ่มเติมว่า ซากเหล่านั้นสามารถนำไปใช้เป็นอาหารให้กับสัตว์ เช่น วัว หรือเก็บไปทำอย่างอื่นก็ได้ เราพยายามร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกษตรกรเห็นว่าการไม่เผาเป็นไปได้จริง ๆ

โดยในงาน New Holland Day บริษัทฯ ได้มอบรถแทรกเตอร์รุ่น TT3.50 และ TT2.50 รวมถึงเครื่องบีบอัดและเครื่องสับย่อยพืชอย่างละหนึ่งเครื่อง ให้เกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์ทดลองใช้งานฟรีเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุแบบยั่งยืน
Field Explorer ผสาน AI และโดรน
อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสิ่งแวดล้อมทางอ้อมคือเทคโนโลยี Field Explorer และการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกอย่างแม่นยำ โดยใช้โดรนในการบินสำรวจพื้นที่ ถ่ายภาพเพื่อวิเคราะห์ความสูงต่ำของที่ ทิศทางน้ำไหล และปัจจัยอื่น ๆ จากนั้น AI จะออกแบบเส้นทางการทำงานของรถตัดอ้อยหรือรถแทรกเตอร์ ซึ่งจะช่วยดีไซน์เส้นทางให้ได้เส้นทางการทำงานที่มากที่สุดยาวที่สุด และออกแบบแนวทางการปลูกที่เหมาะสม เช่น แนวตะแคง หรือแนวนอน เพื่อให้การไหลของน้ำไม่เกิดการขัง เพราะการขังน้ำอาจทำให้พืชเน่าเสียได้
การกำหนดเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดผ่านระบบควบคุมพวงมาลัยอัตโนมัติ (Auto Steering) จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่เห็นชัดเจนคือ ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงลงเพราะรถวิ่งในเส้นทางยาวที่สุด ลดการขังของน้ำที่อาจทำให้พืชเน่าเสีย และลดการกลับหัวแปลงที่ทำลายพืชผล ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวม
“เรานำข้อมูลแผนที่มาใส่ในรถ ผ่านตัวรับสัญญาณบนหลังคาที่เชื่อมต่อดาวเทียม แล้วใช้ Auto Steering เพื่อให้รถวิ่งตรงตามไลน์ที่วิเคราะห์ไว้ ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิง ลดการเหยียบทำลายพืช และเพิ่มผลผลิต” คุณนิรันดร์อธิบาย
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ท้ายรถแทรกเตอร์อย่าง Reversible Plough (ไถแบบพลิกกลับได้) ที่พลิกหน้าดินเพื่อฝังวัชพืชลงไปเป็นปุ๋ย ช่วยเพิ่มแร่ธาตุในดินแทนการเผา
ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้
แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจขาลงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซบเซา อีกทั้งราคารถแทรกเตอร์ที่ค่อนข้างสูงหรือเริ่มต้นที่ 500,000-600,000 บาท สำหรับรุ่นเล็ก และสูงถึง 12 ล้านบาทสำหรับรถตัดอ้อย แต่ มาร์ค บรินน์ กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่น บริษัท ซีเอ็นเอช ได้แสดงความมั่นใจในตลาดระยะยาว
“แม้ปีนี้จะเป็นปีที่ลำบาก แต่ภาคเกษตรเป็นอุตสาหกรรมที่หมุนเวียน ผมเชื่อว่าจะกลับมาเติบโตได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า” คุณบรินน์กล่าว และยืนยันว่า บริษัทฯ เน้นต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Cost of Ownership) ที่ต่ำ ด้วยการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อย ความทนทานสูง และการบำรุงรักษาน้อย ซึ่งช่วยให้เกษตรกรแข่งขันได้
เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยี บริษัทมีโปรแกรมให้ยืมเครื่องจักรแบบกลุ่ม เช่น ในสุพรรณบุรีและสิงห์บุรี ที่ให้ยืม 3 ปีสำหรับไร่อ้อย หรือ 3 เดือนสำหรับนาข้าว เพื่อหมุนเวียนไปยังกลุ่มต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ในการทำงาน เพื่อเพิ่มความยั่งยืนและประสิทธิภาพ ลดการเผาเศษซากพืชในที่โล่ง และช่วยให้การจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นระบบมากขึ้น
“การใช้เครื่องจักรกลการเกษตรไม่ได้ช่วยเพียงเพิ่มผลผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมอากาศที่สะอาดขึ้น ปรับปรุงสุขภาพของดิน ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ของเกษตรกรในระยะยาว” คุณบรินน์ กล่าว โดยเน้นย้ำถึงพันธกิจของนิว ฮอลแลนด์ ในการผสานเทคโนโลยีเข้ากับความยั่งยืน
เป้าหมายในอนาคต
ปัจจุบันรถแทรกเตอร์ นิว ฮอลแลนด์ ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 3 ในไทยหลังจากเปิดตลาดในไทยมา 8 ปี
ในขณะที่โรงงานผลิตหลักยังอยู่ที่อินเดีย มีกำลังการผลิต 50,000 ยูนิตต่อปี
“ผมอยากตั้งโรงงานผลิตในไทย เมื่อปริมาณขายมากพอ หรือโรงงานที่อินเดียผลิตเต็มศักยภาพแล้ว เพื่อตอบสนองตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 16 ประเทศ” คุณบรินน์กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Physical AI: เมื่อสมองกล ‘มีร่างกาย’ ทางรอดใหม่ที่จับต้องได้ของอุตสาหกรรมไทย
EGCO Group ชูกลยุทธ์ ‘POWER4’ ทุ่ม 30,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนพลังงานสะอาด
SCB EIC ชี้เศรษฐกิจไทยปี 2026 โตต่ำสุดรอบ 3 ทศวรรษ เหลือ 1.5% แนะธุรกิจใช้กลยุทธ์ ‘READY’ สู้




